การดัดแปลงรถยนต์เพื่อเพิ่มสมรรถนะเชิงอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics Modification For Better Fuel Effici

การสนทนาใน 'Racing Forum (Cars Forum)' เริ่มโดย RacingWeb, 5 มิถุนายน 2013

< Previous Thread | Next Thread >
  1. RacingWeb

    RacingWeb Member Super Moderator

    41
    1
    8
    [​IMG]

    ถ้าพูดถึงการดัดแปลงหรือการโมดิฟายรถยนต์แล้ว สามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ได้หลายประเภท ตัวอย่างเช่น การโมดิฟายเพื่อเพิ่มสรรถนะของเครื่องยนต์ เพื่อลดอัตราบริโภคน้ำมัน เพื่อเพิ่มความปลอดภัย หรือแม้แต่เพื่อเพิ่มความสวยงาม ส่วนการโมดิฟายเพื่อเพิ่มสมรรถนะเชิงอากาศพลศาสตร์หรือเรียกง่ายๆ ว่า การโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์นั้น จัดว่าเป็นการโมดิฟายโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะลดอัตราการบริโภคน้ำมัน การโมดิฟายประเภทนี้เป็นการดัดแปลงบอดี้รถ หรือติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อลดแรงต้านอากาศให้ได้มากที่สุด

    ความจริงแล้ว การโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์นั้น สามารถแบ่งย่อยตามวัตถุประสงค์ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1.เพื่อลดแรงต้านอากาศ (Reduce drag) 2.เพื่อเพิ่มแรงกด (Increase downforce) อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า วัตถุประสงค์ของการลดแรงต้านก็คือลดอัตราการบริโภคน้ำมัน ซึ่งการลดอัตราการกินน้ำมันนี้ เป็นเป้าหมายของรถบ้านที่ใช้ความประหยัดน้ำมันเพื่อเป็นจุดขาย ส่วนการโมดิฟายเพื่อเพิ่มแรงกดนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะให้กับยาง เพื่อให้สามารถเข้าโค้งได้เร็วขึ้น ซึ่งการโมดิฟายเพื่อเพิ่มแรงกดนี้จะพบได้ในรถยนต์สมรรถนะสูงหรือรถแข่งประเภทเซอร์กิตเป็นหลัก สรุปคือ รถบ้านต้องลดแรงต้านอากาศเพื่อให้ประหยัดน้ำมัน ส่วนรถแข่งต้องการแรงกดเพื่อช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะให้กับยางขณะเข้าโค้ง


    "Toyota Prius Super GT" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของรถแข่งที่ทำการการโมดิฟายแอโรไดนามิคส์เพื่อเพิ่มแรงกด (Downforce) หา!!? นี่มัน Prius จริงๆ เหรอ? ใช่แล้วครับ.. มันคือ Toyota Prius รถไฮบริดรักษ์โลกเจ้าของสโลแกน "No one else!" Prius คันนี้ถูกออกแบบและพัฒนาโดยสำนัก APR-Racing ในญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ "Super GT" นั่นเอง Prius คันนี้ลงแข่งในรุ่น GT-300 ซึ่งเป็นรุ่นที่จำกัดให้มีแรงม้าได้ไม่เกิน 300 ตัว เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในปี 2012 ซึ่งเป็นการเข้าแข่งแทนรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Corolla Super GT ที่ถูกปลดประจำการไปในปีก่อนหน้านี้ และในวันที่ Toyota ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะนำ Prius มาเข้าร่วมการแข่งขัน Super GT นั้น สาวก Toyota ทั้งหลายต่างพากันอึ้งกิมกี่ไปเลยทีเดียว เพราะว่ารถแข่งที่จะมาสืบทอดทายาท "เซอร์กิตแมชชีน" ต่อจาก Corolla Super GT ควรจะเป็นรถสปอร์ตขับหลังที่เพิ่งจะเปิดตัวไปอย่าง "GT-86" เสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีคำถามตามมาอย่างมากมายว่า ทำไมไม่นำ GT-86 มาทำการแข่งขัน? แต่ทีม APR-Racing ก็ก้มหน้าก้มตาพัฒนาเจ้า Prius ต่อไป และในเมื่อ Prius ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถแข่งเซอร์กิตแล้ว แน่นอนว่าต้องมีแอโรพาร์ทที่สามารถสร้างแรงกดได้มหาศาล ในขณะเดียวกันก็ต้องมีขุมพลังที่เรียกใช้งานได้อย่างทันใจ Prius คันนี้จึงได้ทำการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ มีรหัสว่า RV8K ซึ่งเป็นเครื่อง V8 3,400cc. ไม่มีระบบอัดอากาศและยังเปลี่ยนตำแหน่งวางเครื่องยนต์มาเป็นวางกลางลำและขับเคลื่อนล้อหลังอีกต่างหาก นอกจากนั้นยังพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของระบบไฮบริดมาช่วยเป็นกำลังเสริมในการขับเคลื่อนอีกด้วย โอ้ววว..เจ๋งสุดๆ


    "Aero-Prius Yura-Style" เป็น Prius สุดล้ำอีกหนึ่งคัน แอโรพาร์ทชุดนี้ออกแบบโดย "Yura-Shop" ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของแอโรพาร์ทชุดนี้มีก็คือ ลดแรงต้านอากาศให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะลดอัตราการบริโภคน้ำมัน ความจริงแล้ว Prius เดิมๆ ก็มีแรงต้านอากาศต่ำอยู่แล้วนะ ยิ่งใส่แอโรพาร์ทลดแรงต้านอากาศเข้าไปอีก เรียกได้ว่าลดแรงต้านกันแบบสุดๆ ไปเลย เมื่อนำ Prius ทั้ง 2 คันมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทั้ง Prius Super GT และ Aero-Prius มีการโมดิฟายแอโรไดนามิคส์ทั้งคู่ แต่วัตถุประสงค์ในการโมดิฟายของรถทั้ง 2 คันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง Prius Super GT นั้นเป็นรถแข่งที่โมดิฟายเพื่อเพิ่มแรงกด (Downforce) แต่สำหรับ Aero-Prius นั้น คือรถบ้านที่ต้องการโมดิฟายเพื่อลดแรงต้านอากาศ ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึงการโมดิฟายรถบ้านเพื่อลดแรงต้านอากาศเป็นหลัก ส่วนการโมดิฟายรถแข่งเพื่อเพิ่มแรงกดนั้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง "อากาศพลศาสตร์ของรถแข่ง" (Race Car Aerodynamics)

    คำถามที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้ก็คือ แล้วเราจะลดแรงต้านอากาศได้อย่างไร? ถ้าต้องการคำตอบของคำถามนี้ ให้ย้อนกลับไปในเรื่องแรงต้านอากาศ จะพบว่า แรงต้านอากาศของรถคันหนึ่งจะมีค่ามากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปร 2 ตัวแปรเป็นสำคัญ นั่นก็คือ Cd และ A (สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศและพื้นที่ปะทะลม) แรงต้านอากาศแปรผันตรงกับสองตัวแปรนี้ นั่นหมายความว่า เมื่อ Cd เพิ่มขึ้น แรงต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นตาม ในขณะเดียวกัน เมื่อ A เพิ่มขึ้น แรงต้านอากาศก็จะเพิ่มขึ้นตามเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะลดแรงต้านอากาศ ก็สามารถทำได้สองวิธี ได้แก่
    1. ลดค่า Cd หมายถึง การทำให้อากาศไหลผ่านตัวรถได้สะดวกขึ้นนั่นเอง เช่น ใส่แผ่นปิดใต้ท้องรถ (Flat undertray)
    2. ลดค่า A หมายถึง การลดพื้นที่ปะทะลม เช่น ลดขนาดกระจกมองข้าง ลดความกว้างหน้ายาง เป็นต้น
    การโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์มีมากมายหลายวิธี แต่ละวิธีก็สามารถลดแรงต้านอากาศได้มากน้อยแตกต่างกัน นอกจากนี้ การโมดิฟายจะช่วยลดแรงต้านอากาศมากเท่าใดนั้น ยังขึ้นอยู่กับรถที่นำมาโมดิฟายด้วย รถที่มีแอโรไดนามิคส์ที่ดีอยู่แล้ว ถึงแม้จะนำมาโมดิฟายอย่างเต็มที่ แต่สัดส่วนของแรงต้านอากาศที่ลดลงก็ไม่ได้มากมายนัก ตรงกันข้ามกับการโมดิฟายรถที่มีแอโรไดนามิคส์ที่แย่ ซึ่งเราสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการโมดิฟายได้อย่างชัดเจน ต่อจากนี้จะเป็นการยกตัวอย่างการโมดิฟายเพื่อลดแรงต้านอากาศ ซึ่งแต่ละวีธีนั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถลดแรงต้านอากาศได้จริง และที่สำคัญก็คือ วิธีการโมดิฟายเหล่านี้ ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก ดังนั้น การลงมือทำด้วยตนเองหรือที่เรียกว่า DIY ก็สามารถทำเองที่โรงรถหรือที่บ้านได้อย่างง่ายดาย และการลงมือทำด้วยตนเองก็เป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของการโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์

    1. สเกิร์ตปิดล้อหลัง (Rear Wheel Skirt or Fender Skirt)
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าล้องามๆ และยางสวยๆ หนึ่งชุด จะทำให้รถของเราดูดีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าล้องามๆ เหล่านั้น เป็นต้นเหตุของแรงต้านอากาศมากถึง 30% ของแรงต้านอากาศทั้งหมด![1] โดยปกติแล้วอากาศที่ไหลผ่านด้านข้างของตัวรถ จะมีส่วนหนึ่งไหลเข้าไปในซุ้มล้อ ทำให้เกิดแรงต้านอากาศขึ้น ยิ่งซุ้มล้อกว้าง แรงต้านอากาศก็จะยิ่งมาก โดยเฉพาะ รถออฟโรดยกสูง และพวกรถบรรทุกทั้งหลาย รถที่มีซุ้มล้อกว้างๆ เหล่านี้ หากติดตั้งสเกิร์ตปิดล้อหลังแล้ว อากาศที่ไหลผ่านด้านข้างของรถจะไม่ไหลเข้าไปในซุ้มล้อ ทำให้แรงต้านอากาศลดลงมาก (ลดลงมากกว่า 5%) และประหยัดน้ำมันขึ้นอย่างชัดเจน แต่สำหรับรถบ้านประเภทซีดานและแฮทช์แบค แรงต้านอากาศจะลดลงประมาณ 2-3% เท่านั้น ซึ่งทำให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ประสิทธิภาพของสเกิร์ตปิดล้อหลังยังขึ้นอยู่กับความเร็วในการขับขี่อีกด้วย ยิ่งความเร็วสูงมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็จะมากขึ้นเท่านั้น เช่น การขับรถความเร็วสูงบนทางด่วนจะสามารถเห็นความแตกต่างได้มากกว่าการขับรถในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ


    สเกิร์ตปิดล้อหลังส่วนใหญ่จะทำมาจากไฟเบอร์หรืออะลูมิเนียมซึ่งมีต้นทุนไม่สูงนัก และเนื่องจากสเกิร์ตไม่มีกลไกอะไรซับซ้อนทำให้สามารถผลิตได้ง่าย ราคาจึงไม่แพง แต่ทำไมสเกิร์ตปิดล้อหลังจึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร? อย่างแรกคือมันไปบังลายล้อแม็กนั่นเอง มันไม่คุ้มเลยที่ล้อแม็กวงละเป็นหมื่นๆ ถูกไฟเบอร์ชิ้นละไม่กี่ร้อยบดบังความสวยงามไปหมดสิ้น บางคนก็มองว่ามันทำให้รถดูตลก ดูเหมือนหลุดออกมาจากโลกอนาคต แต่ข้อเสียที่แย่ที่สุดของสเกิร์ตปิดล้อหลังก็คือ ทำให้ความดันลมยางของล้อหลังสูงขึ้นมากกว่าปกติ เนื่องจากลมไม่สามารถพัดเข้าไปในซุ้มล้อเพื่อนำความร้อนออกมาจากยางได้ ทำให้ยางถ่ายเทความร้อนได้น้อยลง เป็นผลให้ยางร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ความดันลมยางเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสยางแตกยางรั่วได้ง่ายกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นถึงข้อดีของสเกิร์ตปิดล้อหลังมากกว่าข้อเสีย จึงได้ทำการโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์ การโมดิฟายแบบนี้นับว่าเป็นการโมดิฟายที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่นๆ

    [​IMG]

    แล้วสเกิร์ตปิดล้อหน้าล่ะ...มีหรือเปล่า? คำตอบคือ มีครับ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่ากับสเกิร์ตปิดล้อหลัง เนื่องจากล้อหน้าต้องทำให้ที่เป็นล้อบังคับเลี้ยว เมื่อล้อเลี้ยวแล้วอาจจะไปขูดกับสเกิร์ตทำให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นต้องทำให้สเกิร์ตโป่งออกมาเพื่อหลบล้อในขณะเลี้ยว ซึ่งการทำโป่งออกมาจะทำให้เกิดแรงต้านอากาศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มพื้นที่ปะทะลมนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสเกิร์ตปิดล้อหน้าถูกออกแบบมาอย่างดีและใช้ร่วมกับสเกิร์ตปิดล้อหลังแล้ว จะทำให้แรงต้านอากาศลดลงมากถึง 7% เลยทีเดียว

    รถยนต์บางรุ่นถูกติดตั้งสเกิร์ตปิดล้อหลังมาตั้งแต่จากโรงงานเพื่อลดแรงต้านอากาศโดยเฉพาะ เช่น Honda Insight (1st Generation) เป็นรถไฮบริดไฟฟ้า-น้ำมันคันแรกของค่าย HONDA ผลิตและจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ.1999 และปิดไลน์การผลิตเมื่อปี ค.ศ.2006 Honda Insight ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ด้วยการนำศิลป์ในการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ และนำศาสตร์ทางด้านแอโรไดนามิคส์ขั้นสูงมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้ Insight เป็นรถที่ดูล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น พร้อมทั้งยังเป็นรถที่มีแรงต้านอากาศต่ำมาก โดยมีค่า Cd เพียงแค่ 0.25 เท่านั้นเอง[2]

    [​IMG]
    Honda Insight 1st Generation: Top 10 Used Hybrids | Green Car News And Reviews

    กุญแจสำคัญทั้ง 3 ประการที่ทำให้ Honda Insight กลายเป็นรถไฮบริดที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น คือ 1.เครื่องยนต์ไฮบริดประสิทธิภาพสูง เครื่องยนต์ไฮบริดของ Honda Insight มีหลักการทำงานที่ง่ายไม่ซับซ้อน และมีน้ำหนักเบา ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบโดยคำนึงถึงความประหยัดเชื้อเพลิงเป็นหลัก 2.ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อลดแรงต้านอากาศ ทุกส่วนที่มีการปะทะกับอากาศจะถูกจะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงแอโรไดนามิคส์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นล้อแม็ก กระจกข้าง ไฟหน้า กันชนหน้า ซุ้มล้อหรือแม้แต่บังโคลน 3.ตัวถังน้ำหนักเบา ตัวถังของ Honda Insight ขึ้นรูปโดยใช้ Aluminum ส่งผลให้มีน้ำหนักเบาหวิวเพียงแค่ 850 กิโลกรัมเท่านั้น ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เพียงพอแล้วที่จะทำให้ Honda Insight ได้รับการยกย่องว่าเป็น "รถที่ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก (The most fuel efficient car in the world)"

    2.ฝาครอบล้อ (Wheel cover)
    อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วว่า เมื่ออากาศไหลผ่านด้านข้างของรถ และปะทะกับล้อพร้อมกันนั้นก็ไหลเข้าไปในซุ้มล้อ เมื่อปะทะแล้วอากาศที่ไหลออกมาจะไหลออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดแรงต้านอากาศขึ้น เพราะเหตุนี้ สเกิร์ตปิดล้อจึงถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศไหลเข้าไปปะทะกับล้อและซุ้มล้อ แต่ความจริงแล้ว สเกิร์ตปิดล้อมีวัตถุประสงค์เพื่อกั้นไม่ให้ลมไหลเข้าไปในซุ้มล้อเสียมากกว่า ส่วนการป้องกันไม่ให้ลมปะทะกับล้อจะเป็นหน้าที่โดยตรงของ "ฝาครอบล้อ" สรุปคือ สเกิร์ตปิดล้อป้องกันลมไม่ให้เข้าไปในซุ้มล้อ ส่วนฝาครอบล้อป้องกันลมไม่ให้ปะทะกับล้อ


    แล้วแรงต้านอากาศของล้อเกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบก็คือลายของล้อแม็กนั่นเอง ก้านของล้อแม็กทำหน้าที่เหมือนใบพัดของกังหันลม มันจะพัดลมที่ไหลเข้ามาปะทะให้มีกลายเป็นกระแสลมที่มีความปั่นป่วนและไร้ทิศทาง ยิ่งความเร็วสูงก็จะยิ่งปั่นป่วน ดังนั้นการติดฝาครอบล้อเข้าไปก็เท่ากับว่าเรากั้นไม่ให้ลมไหลไปในใบพัดนั่นเอง ในบางครั้งฝาครอบล้อและสเกิร์ตปิดล้อจะถูกติดตั้งพร้อมกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงสุด แต่สำหรับรถที่มีซุ้มล้อเล็กๆ อย่างเช่น ซิตี้คาร์ทั้งหลาย การติดฝาครอบล้อเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะเพิ่มแอโรไดนามิคส์แล้ว เนื่องจากซุ้มล้อมีขนาดเล็กจะทำให้อากาศไหลเข้าไปในซุ้มล้อลำบาก จึงมีแรงต้านอากาศน้อยกว่ารถที่มีซุ้มล้อขนาดใหญ่ อย่างเช่นรถกระบะ เคยมีการโมดิฟายโดยใช้เพียงฝาครอบล้อทั้ง 4 ล้อ ผลปรากฎว่าสามารถประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น 4-5%[3] เลยทีเดียว

    3.แผ่นปิดใต้ท้องรถ (Flat Undertray)
    การไหลของอากาศใต้ท้องรถมีความสำคัญไม่แพ้กับการไหลของอากาศเหนือตัวรถ เนื่องจากแรงต้านอากาศมากกว่า 20% ของแรงต้านอากาศทั้งหมด เกิดขึ้นจากการไหลของอากาศอย่างไม่เป็นระเบียบที่ใต้ท้องรถ ชิ้นส่วนของช่วงล่าง เพลาขับและท่อไอเสียล้วนแล้วแต่เป็นตัวขวางทางการไหลของอากาศ ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดแรงต้านอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การไหลของอากาศใต้ท้องรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้อากาศไหลเข้าไปใต้ท้องรถ หรือให้ไหลเข้าไปน้อยที่สุด

    ตั้งแต่ที่ค้นพบว่า มีแรงต้านส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการไหลของอากาศใต้ท้องรถ นักพัฒนารถยนต์จึงพยายามค้นหาวิธีการที่จะลดการไหลของอากาศใต้ท้องรถ โดยการลดปริมาณของอากาศที่ไหลเข้าไปใต้ท้องรถให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการทำกันชนหน้าให้ยื่นลงมาใกล้พื้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือเรียกว่าการติดตั้ง "Air dam" นั่นเอง การทำเช่นนี้ทำให้ช่องว่างระหว่างรถและถนนมีค่าน้อยลง ส่งผลให้อากาศไหลเข้าไปใต้ท้องรถได้ยากขึ้น ทำให้แรงต้านอากาศที่ใต้ท้องรถลดลงอย่างง่ายดาย แต่อย่างไรก็ตาม วิศวกรมาค้นพบตอนหลังว่า การติดตั้ง Air dam จะเพิ่มพื้นที่ปะทะลมหรือ "Frontal area" (ตัวแปร "A") ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้แรงต้านอากาศเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยการใส่ Air dam จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสียมากกว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก


    เนื่องจาก Air dam ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการไหลของอากาศใต้ท้องรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความพยายามที่จะทำให้อากาศไหลเข้าใต้รถน้อยที่สุดจึงกลายมาเป็นความพยายามที่จะทำให้ใต้ท้องรถเรียบที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้อากาศไหลผ่านได้สะดวกที่สุด แผ่นปิดใต้ท้องรถจึงถูกนำมาติดตั้งที่ใต้ท้องรถยนต์ เพื่อกั้นไม่ให้อากาศไหลผ่านชิ้นส่วนใต้ท้องรถยนต์ แผ่นปิดเหล่านี้จะปิดชิ้นส่วนของช่วงล่าง และเพลาขับ ซึ่งเป็นตัวขวางทางการไหลของอากาศ และแน่นอนว่าเมื่อไม่มีอะไรมาขวางทางการไหลแล้ว อากาศก็จะไหลได้เร็วขึ้น และผลพลอยได้อันเนื่องมาจากอากาศใต้ท้องรถไหลเร็วขึ้นนั้น จะทำให้เกิดแรงกดซึ่งจะกดรถลงกับพื้น เพิ่มแรงยึดเกาะระหว่างยางและถนน ซึ่งจะส่งผลให้รถมีการทรงตัวที่ดีขึ้น (Aerodynamics Stability)


    อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าแผ่นปิดใต้ท้องรถจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียอย่างหนึ่งของแผ่นปิดใต้ท้องรถยนต์นั้น เกิดขึ้นเนื่องจาก "แผ่นปิดใต้ห้องเครื่องยนต์ (Engine Undertray)" เนื่องจากเครื่องยนต์จะถ่ายเทความร้อนบางส่วนออกมาทางด้านล่างห้องเครื่องยนต์ ดังนั้น การปิดใต้ห้องเครื่องยนต์เท่ากับว่าเป็นการขัดขวางการถ่ายเทความร้อน ทำให้อุณหภูมิของเครื่องยนต์จึงสูงกว่าปกติ น้ำมันเครื่องจะมีประสิทธิภาพลดลง และผลที่ตามมาก็คือเครื่องยนต์จะมีอายุการใช้งานที่สั้นลง แต่ถ้าหากแผ่นปิดใต้เครื่องยนต์ยนต์มีการออกแบบที่คำนึงถึงการถ่ายเทความร้อนด้วยแล้ว เช่น การเจาะช่องระบายอากาศ หรือเพิ่มครีบเพื่อระบายความร้อน ปัญหาเรื่องความร้อนก็จะไม่มากวนใจอีก นอกจากนั้น การเลือกใช้วัสดุที่จะนำมาทำเป็นแผ่นปิดใต้ท้องรถก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน นอกจากจะต้องมีน้ำหนักเบาแล้ว ยังต้องมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรับแรงกระแทกจากการกระเด้งกระดอนของเศษก้อนดินก้อนหิน และสิ่งสำคัญก็คือต้องสามารถทนความร้อนโดยที่ยังไม่เสียรูปได้ ความร้อนที่ว่านี้คือความร้อนจากเครื่องยนต์เอง และรวมไปถึงความร้อนจากท่อไอเสียด้วย
     
  2. RacingWeb

    RacingWeb Member Super Moderator

    41
    1
    8
    4.โบทเทลลิ่ง (Boat-tailing)
    ในการออกแบบรถให้มีแรงต้านอากาศต่ำนั้น (Low drag vehicle) นอกจากจะต้องมีรูปทรงปราดเปรียวเพื่อให้อากาศไหลผ่านได้สะดวกแล้ว ยังต้องคำนึงถึงกระแสของอากาศที่ปล่อยออกมาทางด้านท้ายรถด้วย ปกติแล้วอากาศที่ถูกปล่อยออกมาทางท้ายรถจะมีลักษณะเป็น "ลมหมุน" (Wake at rear-end of vehicle) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของแรงต้านอากาศ ยิ่งมีลมหมุนมากก็จะมีแรงต้านอากาศมาก ดังนั้นจึงเกิดความพยายามที่จะลดขนาดของลมหมุนดังกล่าวให้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้มีการค้นคว้าและวิจัยว่า ท้ายรถต้องมีรูปร่างแบบใดจึงจะทำให้การไหลของอากาศมีความปั่นป่วนน้อยที่สุด จากการคำนวนและทดสอบในอุโมงค์ลมครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า รูปร่างของท้ายรถที่ทำให้การไหลของอากาศมีความปั่นป่วนน้อยที่สุด จะต้องมีรูปร่างคล้ายกับหางของเรือ นั่นคือ เมื่อมองจากด้านบนแล้ว ท้ายรถลู่เข้ามาหากัน จึงเป็นที่มาของคำว่า "Boat-tailing" นั่นเอง


    การโมดิฟายแบบนี้ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากที่สุด แต่ก็เป็นการโมดิฟายที่ลดแรงต้านอากาศได้มากที่สุด เรียกได้ว่า ลงทุนมากก็ได้กำไรมาก วิธีนี้จะเห็นผลมากที่สุดเมื่อโมดิฟายกับรถแฮทช์แบค เพราะว่ารถแฮทช์แบคจะสร้างลมหมุนขนาดใหญ่ที่ท้ายรถ ดังนั้นการโมดิฟายแบบ Boat-tailing จะช่วยให้ขนาดของลมหมุนลดลงอย่างมาก แรงต้านอากาศจึงลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน


    ในปี 2009 Darin Cosgrove ชาวแคนนาเดียน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Home - MetroMPG.com - Geo Metro, Chevrolet Metro / Swift, Pontiac Firefly, Suzuki Swift fuel economy info (เป็นเว็ปไซต์เกี่ยวกับการโมดิฟายรถยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง) ได้ทำการโมดิฟายรถ Pontiac Firefly ปี 1989 ซึ่งเป็นรถของเขาเอง โดยการประดิษฐ์ Boat-tail ขึ้นมาเอง ซึ่งมีโครงสร้างหลักเป็นอะลูมิเนียมและไม้อัด มีพื้นผิวเป็นกระดาษแข็ง น้ำหนักรวมประมาณ 5.5 กิโลกรัม อีกทั้งยังได้ติดตั้งสเกิร์ตปิดล้อหลังอีกด้วย จากนั้นได้ทำการทดสอบเพื่อหาความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังการโมดิฟาย ผลปรากฎว่า สามารถลดค่า Cd จาก 0.34 เหลือเพียง 0.23 เท่านั้น นั่นเท่ากับว่าลดลงถึง 30% ซึ่งส่งผลให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 15%![4] ว่าแต่...มันสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ไหม? ดูไม่ค่อยแข็งแรง แถมยังดูเทอะทะอีกต่างหาก Darin Cosgrove กล่าวว่า เวอร์ชั่นนี้เป็นเพียงเวอร์ชั่นต้นแบบเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงเวอร์ชั่นต้นแบบ แต่ผลการทดสอบที่ออกมาก็ถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างมาก เวอร์ชั่นต้นแบบนี้มีความยาวประมาณ 1.4 เมตร เมื่อติดตั้งเข้ากับรถแล้วจะทำให้รถมีความยาวมากกว่า Toyota Camry เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถือว่าไม่ได้เกะกะอะไรมากนัก และแน่นอนว่าจะต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก เพื่อให้มีขนาดกระทัดรัด แข็งแรงมากกว่าเดิม และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม


    "General Motor EV1" เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ผลิตและจำหน่ายในปี 1996-1999 บริษัทผู้ผลิตคือ General Motors Corporation หรือเรียกย่อๆว่า "GM" ด้วยความปราถนาอย่างแรงกล้าของ GM ที่ต้องการจะผลิตรถที่ใช้พลังงานน้อยที่สุดในโลก ทำให้ EV1 ถือกำเนิดขึ้นมา ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอัจฉริยะ ตัวถังน้ำหนักเบาและแอโรไดนามิคส์ขั้นสูง โดยเฉพาะแอโรไดนามิคส์นั้น สเกิร์ตปิดล้อหลัง ล้อที่มีแรงต้านอากาศต่ำ กระจกข้างลู่ลม และโบทเทลลิ่ง ทั้งหมดนี้ทำให้ EV1 เป็นรถที่ค่า Cd ต่ำที่สุดในโลก โดยมีค่า Cd เพียงแค่ 0.195 เท่านั้นเอง![5]

    5.การปิดช่องลมด้านหน้ารถ (Grille block)
    เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า แรงต้านของอากาศทำให้รถเคลื่อนที่ลำบากขึ้น ใช้พลังงานมากขึ้น สรุปว่าอากาศมันมีแต่ข้อเสีย ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม? จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนัก ความจริงแล้ว อากาศมีประโยชน์มหาศาล อยู่ที่ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างของรถที่ใช้ประโยชน์จากอากาศได้มากที่สุด คือ รถแข่งฟอร์มูล่าวัน รถแข่งประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อให้สร้างแรงกดจากอากาศ (Aerodynamic down-force) ให้ได้มากที่สุด แรงกดที่ว่านี้จะทำให้รถแข่งสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วที่สูงมาก นอกจากการสร้างแรงกดแล้ว อากาศยังมีประโยชน์ในการระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ โดยการแลกเปลี่ยนความร้อนกับน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ ซึ่งการแลกเปลี่ยนความร้อนนี้จะเกิดขึ้นที่หม้อน้ำ เมื่อแลกเปลี่ยนความร้อนไปแล้ว น้ำหล่อเย็นจะเย็นลง เพื่อไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ต่อไป ถึงอย่างไรก็ตาม ประโยชน์ทั้ง 2 ข้อที่กล่าวมา ทั้งการใช้อากาศเพื่อสร้างแรงกดและการใช้อากาศเพื่อระบายความร้อน เป็นอะไรที่ไม่ได้มาฟรีๆ แต่ต้องแลกมาซึ่งแรงต้านอากาศตามเคย

    เชื่อหรือไม่ว่า การใช้อากาศเพื่อระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของแรงต้านอากาศ เนื่องจากอากาศต้องไหลผ่านหม้อน้ำ ซึ่งหม้อน้ำนี่เองเป็นตัวขวางทางการไหลของอากาศ ทำให้เกิดแรงต้านอากาศขึ้น นั่นหมายความว่าถ้าเอาหม้อน้ำออก ก็จะลดแรงต้านอากาศได้ใช่ไหม? ใช่แล้ว ถูกต้องที่สุด แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องปิดช่องที่อากาศไหลเข้าไปด้วยนะ การปิดช่องอากาศเหล่านี้จะกั้นอากาศไม่ให้ไหลเข้าเครื่องยนต์ ทำให้อากาศไหลผ่านรถมีความเป็นระเบียบมากขึ้น แรงต้านอากาศจึงลดลงการปิดช่องอากาศเพื่อกั้นไม่ให้อากาศไหลเข้าห้องเครื่องยนต์นี้ เรียกว่า "Grille block" นั่นเอง


    เอ๊ะ!? แต่เดี๋ยวก่อนนะ ไปปิดช่องลมเข้าหม้อน้ำอย่างนี้ เครื่องยนต์ก็ได้โอเวอร์ฮีทกลับบ้านเก่ากันพอดี ปัญญาอ่อนป่ะเนี่ย? ฟังให้จบก่อนครับ โอเวอร์ฮีทแน่นอนถ้านำมาประยุกต์ใช้ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย แต่สำหรับเมืองนอกที่อุณหภูมิต่ำๆ การโมดิฟายแบบนี้ทำให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้นไม่มากนัก จึงนับเป็นการโมดิฟายที่นับว่ามีประสิทธิภาพที่สุดอีกวิธีหนึ่ง ความจริงแล้ว การปิดช่องลมไม่จำเป็นต้องปิดหมดทุกช่องก็ได้ จะปิดมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเครื่องยนต์เป็นหลัก เคยมีการโมดิฟายแล้วสามารถลดแรงต้านอากาศได้มากถึง 10% โดยที่เครื่องยนต์ไม่เกิดการโอเวอร์ฮีทแต่อย่างใด และเนื่องจากการโมดิฟายแบบนี้ สามารถทำเองได้ มีค่าใช้จ่ายน้อย ติดตั้งง่าย และใช้งานได้จริง ทำให้การโมดิฟายลักษณะนี้เป็นหนึ่งในการโมดิฟายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกวิธีหนึ่ง


    นอกจากจะช่วยลดแรงต้านอากาศแล้ว ขณะที่สตาร์ทเครื่องยนต์ในอุณหภูมิต่ำมากๆ การปิดช่องลมยังทำให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้น จนถึง "อุณภูมิทำงาน" (Operating temperature) ได้เร็วกว่าปกติ ที่อุณหภูมินี้จะเป็นอุณหภูมิที่เครื่องยนต์สามารถใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และการที่เครื่องยนต์สามารถทำงานที่อุณหภูมิทำงานได้เร็วขึ้น นั่นหมายความว่า อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะว่าขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิต่ำจะมีอัตราการสึกหรอมากกว่านั่นเอง สรุปได้ว่า การปิดกระจังหน้ามีข้อดีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกก็คือ ลดแรงต้านอากาศโดยการกั้นไม่ให้อากาศไหลเข้าไปในห้องเครื่องยนต์มากเกินความจำเป็น อย่างที่สองก็คือ ทำให้เครื่องยนต์ร้อนเร็วขึ้นหรือใช้เวลาในการวอร์มเครื่องยนต์น้อยลงนั่นเอง

    แล้วประเทศร้อนอย่างบ้านเราล่ะ หมดสิทธิ์โมดิฟายแบบนี้ใช่ไหม? ก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้นะ แต่ต้องออกแบบดีๆ หน่อย ออกแบบแต่พอดีไม่ต้องโลภมาก กั้นลมแค่พอประมาณก็พอไม่ต้องปิดช่องลมทั้งหมด แต่คำถามสำคัญก็คือ แล้วจะรู้ได้ไงว่าต้องกั้นแค่ไหนถึงจะพอดี? อันนี้ก็คงต้องทดลอง ทดสอบ ลองผิดลองถูกกันไป อืม...ยุ่งยากไปไหม ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ? งั้นต้องวิธีนี้เลย "Active Grille Shutters" เป็นการใช้ครีบเปิด-ปิดเพื่อรับลมเข้าหม้อน้ำอย่างอัตโนมัติ เมื่อใดก็ตามที่เครื่องยนต์ยังไม่ร้อนมาก ครีบจะปิดไม่ให้อากาศไหลผ่านหม้อน้ำ การกั้นอากาศในลักษณะนี้จะทำให้แรงต้านอากาศของรถลดลง ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงเกินไป ครีบจะเปิดเพื่อรับอากาศมาหล่อเย็นเครื่องยนต์ หากใช้วิธีนี้แล้ว รับรองว่าเครื่องยนต์ไม่มีทางโอเวอร์ฮีทลาโลกไปก่อนอย่างแน่นอน


    เทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง "Active Grille Shutters" เรียกย่อๆว่า "AGS" ถูกนำมาใช้กับ New Ford Focus 2012 รถยนต์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคต ฟอร์ดโฟกัสรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นก่อน โดยเฉพาะในด้านแอโรไดนามิคส์ เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนแล้วสามารถลดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศได้มากถึง 7.8%[6] ถือว่าลดได้เยอะมากๆ และแน่นอนว่าเทคโนโลยี AGS ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดแรงต้านอากาศในครั้งนี้ด้วย วัตถุประสงค์หลักของเทคโนโลยี AGS ก็คือลดแรงต้านอากาศ ซึ่งจะทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันลดลง นอกจากนี้ ผลพลอยได้อันเนื่องมาจากแรงต้านอากาสที่ลดลง ยังทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีก 2%

    ย่อหน้านี้จะเป็นการอธิบายหลักการทำงานของเทคโนโลยี AGS ในฟอร์ดโฟกัส อย่างที่ได้อธิบายหลักการทำงานคร่าวๆ ไปแล้วว่า เทคโนโลยี AGS เป็นการใช้ครีบเพื่อเปิด-ปิด เพื่อรับลมเข้าหม้อน้ำ แต่สำหรับ AGS ที่ติดตั้งในฟอร์ดโฟกัสนั้นสามารถ เปิด-ปิด ได้ทั้งหมด 15 ระดับขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ขณะที่เครื่องยนต์ต้องการระบายความร้อน ครีบจะเปิดรับลมเพื่อเข้าหมอน้ำอย่างเต็มที่ เช่น ในขณะรถติดหรือขับในเมืองด้วยความเร็วต่ำ แต่ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิไม่มากนัก ครีบจะปิดเพื่อกั้นไม่ให้ลมไหลผ่านหม้อน้ำ เช่น ในขณะการขับรถความเร็วสูงบนไฮเวย์ ซึ่งการปิดกั้นลมจะทำให้แรงต้านอากาศลดลง อัตราการบริโภคน้ำมันจึงลดลง นอกจากนี้ฟอร์ดยังเคลมว่า เทคโนโลยี AGS สามารถลดการใช้ก๊าซคาร์บอกไดออกไซด์ได้ 2% ซึ่งเป็นผลมาจาก การที่แรงต้านอากาศลดลง ส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องการกำลังน้อยลง ปริมาณน้ำมันที่ฉีดจึงน้อยลง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ลดลงนั่นเอง

    บทสรุป
    ในประเทศแคนนาดา มีคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบการโมดิฟายรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ใช่การโมดิฟายให้รถมีความแรงขึ้นหรือเร็วขึ้นแต่ประการใด แต่เป็นการโมดิฟายเพื่อให้รถของพวกเขาสามารถใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรียกง่ายๆว่า ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้รถประหยัดน้ำมันมากที่สุด เว็บไซต์ของพวกเขาคือ Fuel Economy, Hypermiling, EcoModding News and Forum - EcoModder.com สำหรับผู้ชนะในการโมดิฟายรถให้แรงนั้น คือผู้ที่สามารถทำความเร็วได้มากที่สุด แต่สำหรับการโมดิฟายรถเพื่อให้ประหยัดน้ำมัน ผู้ที่ชนะคือผู้ที่สามารถทำระยะทางได้มากที่สุดโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุด ที่เมืองนอกเขาเรียกว่า "MPG" ย่อมากจาก "Miles per gallon" ซึ่งหมายความว่า เชื้อเพลิง 1 แกลลอน สามารถวิ่งได้กี่ไมล์ ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คือ กิโลเมตรต่อลิตรนั่นเอง (Km/l) เหล่านักโมดิฟายทั้งหลายต่างทำทุกอย่างเพื่อจะทำให้รถมี MPG มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับจูนเครื่องยนต์ เปลี่ยนอัตราทดเกียร์ รวมไปถึงการลดน้ำหนักรถยนต์ แต่การโมดิฟายที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ "การโมดิฟายแอโรไดนามิคส์" เหตุผลที่ได้รับความนิยมนั้นก็เป็นเพราะว่า "ทำง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อย" เรียกได้ว่า DIY ที่โรงรถได้เลย และการที่สามารถ DIY เองได้โดยใช้ค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิดนี้แหละที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์

    การโมดิฟายเพื่อเพิ่มแอโรไดนามิคส์ เป็นเพียงวิธีหนึ่งในอีกหลายวิธีที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง นอกจากนี้ "พฤติกรรมการขับขี่" ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลโดยตรงต่ออัตราการบริโภคเชื้อเพลิง ถึงแม้จะมีรถไฮบริดประสิทธิภาพสูง มีระบบช่วยประหยัดพลังงานอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ถ้าหากขับแบบจะไปอย่างเดียว ออกตัวก็กดคันเร่งสุด ตอนเบรคก็กดเบรคสุด ถ้าขับแบบนี้ ถึงแม้จะมีระบบไฮบริดสุดไฮเทคแต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เรียกได้ว่า รถออกแบบมาให้ประหยัด แต่คนขับไม่อยากประหยัด ก็ไม่รู้จะออกแบบมาให้ประหยัดเพื่ออะไร? ก็เลือกเอาแล้วกันว่าอยากจะเห็นตัวเลขอะไรเยอะกว่ากัน ระหว่างตัวเลขกิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือว่า ตัวเลขกิโลเมตรต่อลิตร :)

    อ้างอิง (References)
    [1] Alessandro Talamelli, Introduction of Vehicle Aerodynamics, Royal Institute of Technology; Stockholm, Sweden
    [2] Honda Insight - Wikipedia, the free encyclopedia
    [3] Project: Geo Metro boat tail prototype - 15% MPG improvement @ 90 kph / 56 mph - Fuel Economy, Hypermiling, EcoModding News and Forum - EcoModder.com
    [4] Experiment: smooth wheel discs tested A-B-A - 4.6% mpg improvement @ 65 mph - Fuel Economy, Hypermiling, EcoModding News and Forum - EcoModder.com
    [5] General Motors EV1 - Wikipedia, the free encyclopedia
    [6] STREAMLINED ALL-NEW FORD FOCUS SIGNIFICANTLY REDUCES AERODYNAMIC DRAG, ADDING FUEL EFFICIENCY | Ford Motor Company Newsroom

    ขอขอบคุณ (Special Thanks)
    [1] AutoSpeed - Technology, Efficiency, Performance
    [2] Fuel Economy, Hypermiling, EcoModding News and Forum - EcoModder.com
    [3] | Live for motor sport Japan
    [4] Honda Worldwide : Honda Motor Co.,Ltd.

    ***ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทั้งเนื้อหาภายในบทความรวมไปถึงรูปภาพประกอบของบทความนี้
    ดังนั้น ห้ามเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของบทความนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    เนื่องด้วยรูปภาพประกอบบทความทั้งหลายนี้ ผู้เขียนได้ทำการขออนุญาตจากเจ้าของภาพอย่างถูกต้องแล้ว
    ดังนั้นการนำไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของรูปภาพ อีกทั้งยังละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เขียนอีกด้วย

    ***หากต้องการนำไปเผยแพร่ ให้ขออนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรกับผู้เขียนผ่านทาง E-mail ก่อนครับ ขอบคุณครับ
    (Email : [email protected])
     
  3. EGR

    EGR New Member Moderator

    862
    166
    0
    ขอซึมซับความรู้ ครับ
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้