ก่อนอื่นก็ต้องขออภัยที่บทความนี้ที่ผมทำออกมาค่อนข้างจะช้าซะนิด เพราะเข้าหน้าร้อนมารอบนึงแล้ว เนื่องด้วยติดภาระกิจหลายๆอย่าง และมี D.I.Y. Project ไฟส่องเท้า (ตามสัญญาครับ) มาคั่นนิดหนึ่ง ก็ขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยละกันครับ บทความนี้ค่อนข้างจะยาวมากๆ นะครับเหนื่อยหน่อยกว่าจะอ่านจบ ขอพูดโดยรวมก่อน วันนี้จะว่ากันด้วยเรื่องแอร์ครับ แต่ไม่ใช่ระบบแอร์พวกคอมเพรสเซอร์, คอยล์ร้อน, คอยล์เย็น, ไดร์เออร์ อะไรทำนองนี้ครับ เพราะบทความพวกนี้หาอ่านได้โดยทั่วไปแล้ว แต่ผมจะเจาะลึกลงไปว่ากันด้วย "หน้าปัดแอร์หรือกรอบแอร์" แบบต่างๆกันให้หายสงสัยกัน ไม่ว่าจะสไลด์, 1 ปุ่ม, 3 ปุ่ม(ทั้งออโต้และไม่ออโต้) ว่าหน้าตามันเป็นยังไง ต้องมี ต้องใช้อะไรเพิ่มบ้าง ติดแล้วเป็นยังไง ได้อะไรบ้าง เสียอะไรบ้าง เริ่มกันเลย อืม!! อีกนิดนะครับ คือว่าก็อย่างทุกๆบทความที่ผมทำก็ต้องบอกว่า "ผมก็คนธรรมดาทั่วๆไป (ไม่ใช่ Guru แค่กรูอยากรู้) ผมไม่ใช่ช่าง แค่คนที่รักรถ อยากรู้เรื่องรถ ศึกษาข้อมูลต่างๆเรื่องรถ" ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องหรือขาดตกตรงไหนก็เสริมได้เลยครับ และขออนุญาตเจ้าของรูปที่ผมเอามาไว้ ณ.ที่นี้ด้วย เพื่อเป็นความรู้ให้หลายๆคนนะครับ เริ่มจริงๆล่ะ 1. ส่วนประกอบอื่นๆก่อน เอาของที่ต้องมีก่อนละกันครับ ในที่นี้ไม่ใช่กรอบแอร์นะ คงสงสัยว่าทำไมไม่พูดถึงกรอบแอร์ก่อน ก็เพราะว่ามันจะได้มองเห็นถาพได้ง่ายกว่า เดี๋ยวผมพูดถึง ตัวโน้น ตัวนี้จะไม่เข้าใจ มานั่งนึกภาพอยู่มันจะเข้าใจยากครับ และจะได้อ้างถึงได้เวลาพูดถึงกรอบแอร์แต่ละประเภท มาดูกันครับ 1.1 ตู้แบ่งลมที่มี Heater จะเรียกชุดนี้ว่าตู้ Air Mix โดยหน้าตาของมันแล้วก็เหมือนๆกับตู้แบ่งลมบ้านเรานี้ครับ แต่มีส่วนที่เพิ่มมาคือคอยล์ร้อน, สายลิงค์ และก็มอเตอร์ดึงสายลิงค์เพื่อเปิดวาล์วน้ำ(1.4)เข้าคอยล์ร้อน - ตัวตู้แบ่งลมที่มีฮีตเตอร์และสายลิงค์(เส้นสีน้ำเงิน) - ถอดแยกชิ้นออกมาก็จะเป็นแบบนี้ - ดูกันชัดๆคอยล์ร้อนที่ทำจากทองแดง (จับนิดจับหน่อยครีบล้มง่ายมาก) 1.2 ตู้คอยล์เย็น จริงๆแล้วตู้ตัวนี้ไม่ต้องหาเพิ่มก็ได้ ใช้ของบ้านเรานี่ล่ะ ที่ไม่เหมือนกันกับของนอกคือจะมีช่องใส่ Air Filter ด้วย ขอพูดเรื่องการติดตั้งเป็นข้อคิดซะนิดนะว่าในการติดตั้งนั้นจะมีการเพิ่มเซนเซอร์ (1.6) เข้าไปในตู้นี้ด้วย 1 ตัว ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วว่าตู้แอร์เราเน่าขนาดไหนแล้ว ควรจะเปลี่ยนใหม่หรือแค่ถอดออกมาล้างทำความสะอาดก็ได้แล้ว ถ้าต้องถอดมาล้างก็แน่นอนครับ น้ำยาแอร์ต้องเปลี่ยนใหม่ ผมว่าถ้าชัวว์ๆว่าตู้แอร์เราต้องเปลี่ยนหรือวาล์วตันแล้วก็หาตู้นอกมาเลยดีกว่า เพราะตู้นอกสวยๆก็ไม่น่าเกิน 1500 บ. ได้ครบหมดทั้งเซนเซอร์(1.6)ด้วย แต่ถ้าเอาตู้เดิมแล้วเปลี่ยนวาล์วก็ประมาณ 800 บ. แล้ว ก็คิดเอานะครับแค่แนะนำ ดูกันเลยดีกว่า เพราะเริ่มจะยาวอีกแล้ว - ตัวตู้แอร์ + Thermister ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุด Trermostat (1.6) - ถาดใส่ Air Filter 1.3 เสื้อน้ำ (จริงๆไม่รู้เรียกว่าอะไร ใครรู้ช่วยบอกที ผมเรียกนี่ไปก่อนละกัน) เสื้อน้ำจะเป็นตัวแบ่งน้ำร้อนในระบบหล่อเย็นที่ออกมาจากเครื่องยนต์เพื่อเข้าไปยังตู้ฮีตเตอร์ครับ สำหรับในเครื่องแคมเดี่ยว(D) นั้นจำเป็นต้องหาตัวนี้เพิ่มครับ แต่สำหรับในเครื่องแคมคู่(B) นั้นไม่จำเป็นต้องหา เพราะมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีท่อปิดไว้เท่านั้นครับ - หน้าตาแบบนี้ล่ะ อันนี้ของผมดูเก่าโปราณไปยังไม่ได้ล้าง แต่ใช้ได้ครับ - หลังติดตั้งแล้วครับ (ชุดที่ Ground Wire สีฟ้ายึดอยู่) 1.4 วาล์วน้ำ วาล์วน้ำจะทำหน้าที่เปิด-ปิดน้ำร้อนจากระบบหล่อเย็นเข้าฮีตเตอร์ โดยในการเปิด-ปิดนั้นจะใช้สายลิงค์ที่มาจากตู้แบ่งลมซึ่งจะมีมอเตอร์ควบคุมอยู่อีกต่อหนึ่ง - วาล์วน้ำที่มีสายลิงค์จากตู้แบ่งลมมาควบคุมการเปิด-ปิด - ชัดๆ ใกล้ๆ ครับ 1.5 ท่อน้ำเข้า-ออกตู้ Heater หน้าที่ของมันก็เป็นการนำน้ำหล่อเย็น(น้ำร้อน)ที่ได้จากเสื้อน้ำ(1.3) เข้าไปยังฮีตเตอร์ในตู้แอร์มิกซ์ - ท่อน้ำทั้งหมดจะมี 3 ท่อน คือน้ำเข้า 2 ท่อน(มีวาล์วน้ำคั่นกลาง) และท่อน้ำออก 1 ท่อนครับ - จุดที่ต้องเจาะตัวรถเพื่อให้ท่อฮีตเตอร์และสายลิงค์โผล่ออกมาครับ - จุดที่บางคนสงสัยว่าท่อน้ำที่ออกจากเครื่องเพื่อเข้าฮีตเตอร์มันอยู่ตรงไหน (มันอยูใต้จานจ่ายครับ อันนี้ถ่ายจากด้านหลังเครื่องฝั่งไอดี) 1.6 Thermostat (เทอร์โมสตัท) เทอร์โมสตัทนี้จะติดตั้งอยู่ภายในตู้แอร์หรือตู้คอยล์เย็นครับ ลึกเข้าไปด้านในประมาณ 6 ซม. และต้องติดตั้งอยู่ด้านขาออกของลมครับ เทอร์โมสตัทโดยหน้าที่ของมันแล้วจะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิภายในตู้แอร์(คอยล์เย็น) ไม่ให้เย็นเกินไป เนื่องจากถ้าเย็นจนถึงเป็นน้ำแข็งเกาะที่คอยล์เย็นแล้วจะทำให้แรงลมที่มาจากโบเวอร์จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จะลมไม่สามารถผ่านแผงคอยล์เย็นได้ ก็จะทำให้ไม่มีลมออกที่ช่องแอร์ซิครับงานนี้ บอกแนวทางไว้ให้ถ้าลมที่ช่องแอร์ใครค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ เวลาเปิดนานๆ ก็ลองเช็คตัวเทอร์โมสตัทดูครับ ลงลึกอีกนิดนะครับกับตัวเทอร์โมสตัท (คงจะไม่เบื่อกันก่อนนะ) เทอร์โมสตัทนั้นจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนแรก จะเป็นส่วนของ Thermister (เทอร์มิสเตอร์) จะมาจาก Thermo + Resistor เรียกง่ายๆก็ตัวต้านทานความร้อนครับ คือค่าความต้านทานภายในของมันจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ โดยตัวที่อยู่ในตู้แอร์แท่งดำๆนั่นล่ะครับ ตัวเทอร์มิสเตอร์ ส่วนที่สอง จะเป็นส่วนของสวิทช์ตัดต่อการทำงานของเทอร์โมสตัทครับ ภายในของตัวนี้จะเป็นทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่ on หรือ off โดยมีตัวเทอร์มิสเตอร์เป็นตัวกำหนดกระแส bias ให้ครับ ตัวนี้แค่นี้ล่ะเดี๋ยวจะไม่เข้าใจและกลายเป็นน่าเบื่อกระทู้ซะอีก - รูปตัวเซนเซอร์ก็ดูในข้อ 1.2 (ตู้คอยล์เย็น) นะครับ ตัวดำๆ ยาวๆ มีสายไฟ 2 เส้นนั้นล่ะ ค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จะอยู่ประมาณ 7 กิโลโอห์ม(ขณะปิดแอร์) 1.7 Exterior Temperature Sensor ตัวเซนเซอร์ตัวนี้จะอยู่ตรงกันชนหน้าครับ หลังป้ายทะเบียน หน้าที่ของเซนเซอร์ตัวนี้ก็จะวัดอุณหภูมิภายนอกห้องโดยสาร เพื่อเป็นการกำหนดการเปิด-ปิดวาล์วน้ำ(1.4) ให้น้ำร้อนเข้าฮีตเตอร์ และจะเป็นตัวกำหนดการเปรียบเทียบหรือชดเชยอุณหภูมิในส่วนลมเย็น(แอร์)ที่ต้องทำงานครับ ซึ่งมันเป็นอัลกอริทึม (algorithm) ของระบบครับ ผมไม่ทราบ เซนเซอร์ตัวนี้จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ให้ค่าออกมาเป็นความต้านทาน โดยที่เมื่ออุณหภูมิต่ำลงค่าความต้านทานจะสูงขึ้น (แปรผกผันกัน) ครับ - ตำแหน่งติดตั้งครับ อยู่หลังป้ายทะเบียน (รถยังไม่ได้ล้าง ศพแมลงติดเต็มเลย ) - หน้าตาก็เป็นแบบนี้ครับ ของผมตอนติดตั้งไม่ได้ยึดสายไฟให้แน่ เวลาขับโดนลมปะทะ นานๆไปสายไฟขาดในครับต้องปลอกสายแล้วบัดกรีใหม่ครับ ของเพื่อนๆก็ดูหน่อยล่ะกันเดี๋ยวจะเป็นเหมือนผม - วัดค่ากันเลยครับ จะได้รู้ค่ามัน ต่อไปถ้าระบบแอร์ผิดปกติก็จะได้รู้ว่ามันเพี้ยนไปหรือเปล่า การเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานนั้นจะเป็นไปอยู่ช้าๆ ถึงแม้อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน เนื่องจากการขับรถอาจจะเจอน้ำ เจอแดด เจอร่มเงา เป็นช่วงๆอาจจะสั้น หากเซนเซอร์ไวเกินไปจะทำให้ระบบแอร์ทำงานหนัก เพราะมันจะพยายามเปลี่ยนระบบตามอุณหภูมิด้านนอกมากเกินไป อันนี้วัดตอนเช้าแดดอ่อนๆ ไม่ร้อน ค่าจะอยู่ประมาณ 1.2 กิโลโอห์ม วัดกลางคืนอากาศเย็นๆหน่อย(อุณหภูมิต่ำลง)จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 กิโลโอห์ม ลองเอาไปจุ่มน้ำเย็นๆในอ่างบัวดู อยู่ประมาณ 1.7 กิโลโอห์ม วัดตอนกลางวันแดดร้อนๆเที่ยงๆ (อุณหภูมิสูงขึ้น) จะอยู่ที่ประมาณ 1 กิโลโอห์ม 1.8 Interior Temperature Sensor ตัวเซนเซอร์ตัวนี้จะอยู่ตรงช่องที่หัวเข่าซ้ายคนขับครับ หน้าที่ของเซนเซอร์ตัวนี้ก็จะวัดอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร (เน้นด้านคนขับเป็นหลัก) และ เซนเซอร์ตัวนี้ก็เหมือนกันกับตัวก่อนคือจะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่ให้ค่าออกมาเป็นความต้านทาน โดยที่เมื่ออุณหภูมิต่ำลงค่าความต้านทานจะสูงขึ้น (แปรผกผันกัน) ส่งเข้าประมวลผลด้วยเช่นกัน อืม!! จะเบื่อกันหรือเปล่านะ เริ่มจะออกวิชาการอีกแล้ว ไปดูตัวจริงๆ กันดีกว่า - มันอยู่ตรงนี้ล่ะ หลังช่องครับ อากาศภายในห้องโดยสารส่วน - การดึงอุณหภูมิภายในห้องโดยสารมาก็จะมีท่อดูดอากาศต่อด้านหลัง โดยอากาศจะผ่านเข้าด้านหน้า(สี่เหลี่ยม) ออกด้านหลัง (กลม) - คนเบื้องหลัง เฮ้ย!! เซนเซอร์เบื้องหลัง ที่มาของอุณหภูมิที่สบายๆ ในห้องโดยสาร - เอามันออกมาให้ชัดๆ คงไม่ถึงกับต้องแยกชิ้นส่วนนะ ตุ่มกลมๆที่เห็นอยู่ตรงกลาง(กล้องโทรฯ ไม่ชัดเท่าไหร่ ขออภัย) อันเท่าหัวไม้ขีดไฟ นั้นล่ะครับเซนเซอร์มัน - วัดกันเห็น ๆ ที่อุณหภูมิต่างๆ อันนี้วัดตอนเช้า อากาศเย็นมีลมพัด ซึ่งเซนเวอร์ตัวนี้จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภุมิมากกว่า Exterior Temperature Sensor มาก 30 องศา = 1.6 กิโลโอห์ม 29 องศา = 1.8 กิโลโอห์ม 25 องศา = 5.5 กิโลโอห์ม 24 องศา = 6.2 กิโลโอห์ม เอาล่ะพอแค่นี้เซนเซอร์ตัวนี้ ยังมีตัวเด็ดๆในมึนหัวตึ๊บ!! อีกเยอะครับ 1.9 UV Sensor เซนเชอร์ตัวนี้จะอยู่ที่บนคอนโซนหน้าครับ โดยจะทำหน้าที่รังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet,UV) ซึ่งรังสีนี้มันก็อยู่ในแสงแดดนี่ล่ะ เอาเป็นว่าผมเรียกว่าเซนเซอร์วัดแสงละกัน ทุกวันนี้แสง UV จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะชั้นบรรยากาศถูกทำลายมากขึ้น เราจึงช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ อุ๊ย!! นอกเรื่องแล้ว กลับมาๆๆ เหตุที่ต้องวัดแสงนี้ เพราะแสงสามารถส่องผ่านกระจกหน้ารถเข้ามาได้ (จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับฟีล์มกรองแสงด้วย) เมื่อตกกระทบกับอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนต่างๆภายในรถก็จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นบนผิววัตถุนั้น โดยเฉพาะพวกคอนโซนดำ 555 + ยิ่งแสงมาก(แดดแรง) ก็จะเกิดความร้อนมาก ก็จะนำค่าที่ได้จากการวัดไปประมวลผลอีกทีร่วมกับเซนเชอร์อื่นๆ คงไม่ต้องเอาอัลกอริทึม (algorithm) มานะ เพราะผมเองก็ไม่รู้ เซนเซอร์นี้พูดมายาวแล้ว เดี๋ยวเบื่อกันซะก่อน ดูตัวจริงเลยดีกว่าครับ - ตำแหน่งติดตั้งครับ จุดนี้ล่ะรับแดดกันเต็มๆ - ตัวเป็นๆ แบบนี้ล่ะครับ - แยกชิ้นออกมาดูกัน ชัดๆ ครับ ด้านซ้ายก็กรอบมัน ตรงกลางเป็น filter กรองรังสีอื่นๆที่ไม่ใช่ UV ออกไป(บ้าง)และป้องกันการกระแทกหัวเซนเซอร์ ส่วนด้านขวาคือหัวเซนเซอร์ครับ (ดูบอบบางมาก) - นี้ล่ะตัวเซนเซอร์มันครับ หลักการก็คล้ายๆกับโซล่าเซลล์ (Solar Cell) นั้นเอง คือจะเปลี่ยนแสงเป็นพลังงานในรูปแรงดันครับ เอาเข้าใจง่ายๆก็เหมือนเครื่องคิดเลขที่ใช้แสงเป็นพลังงาน - วัดกันเห็น ๆ (อีกแล้ว) เซนเซอร์ตัวนี้มีการทำงานที่ค้านข้างไวแสงมากครับ แดดจ้า = 495 mV. แดดอ่อนตอนเช้า = 470 mV. ไม่มีแดด = 270 mV. ในเงามืด = 60 mV. กลางคืน = 0 V. ก็แค่นี้นะครับสำหรับเซนเซอร์ตัวนี้ ผมไม่ลงลึกถึงวัสดุหรือสารที่เอามาทำเดี๋ยวมันจะยาวน่าเบื่อไป เอาแบบขำๆก็พอ 1.10 Relay (รีเลย์) มันก็คือสวิทช์นี้ล่ะครับ โดยจะป้อนไฟ 12 โวลล์ผ่านขดลวดเข้าไปสร้างสนามแม่เหล็กดึงให้หน้าคอนเท็คของสวิทช์ติดกัน ลักษณะก็เป็นรีเลย์ 4 ขาธรรมดาทั่วไปครับ ตัวรีเลย์นี้จะทำหน้าที่เฉพาะตอนที่จะให้พัดลมในตู้โบเวอร์ทำงานเต็ม 100 % เท่านั้น ส่วนระดับความเร็วของโบเวอร์อื่นๆ จะเป็นหน้าที่ของ Power Transistor (1.11) ครับ - อันนี้ของผมหน้าตาโบราณจริงๆ สนิมก็ขึ้น แต่ใช้ได้ครับ ของ DENSO made in japan เหมือนกัน 1.11 Power Transistor หน้าที่ของตัวนี้ก็คือมาแทนที่ขดลวดต้านท้านที่อยู่ภายในตู้โบเวอร์ครับ พูดถึงของเดิมก่อนนะ ของเดิมจะเป็นคอยล์ต้านทานแบบ 3 ขดต่ออนุกรมกันอยู่ ก็จะได้ความแรงลม 4 ระดับตามที่กรอบแอร์มี (ระดับ 4 แรงสุดจะไม่ผ่านคอยล์ต้านทาน) ที่นี้ก็มาดู power transistor บ้าง ตัวนี้จะติดอยู่กับซิงค์ระบายความร้อนด้วยและติดตั้งลงในตู้โบเวอร์ (แทนที่ของเดิม) เหตุที่ต้องติดตั้งลงในตู้โวเวอร์ก็เพราะทั้งคอยล์ต้านทานและpower transistor มันจะเกิดความร้อนขึ้นขณะมันทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายก็ต้องอาศัยลมจากโบเวอร์ช่วยระบายให้เย็นลงครับ Power Transistor ที่ใช้จะเป็นเบอร์ 2SD1460 ชนิด NPN และตัวถังแบบ TO-3 ครับ ก็ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากแค่บอกให้รู้ไว้แค่นั้นครับ เดี๋ยวจะเข้าหลักการมากไปอีก ดูกันต่อเลยดีกว่าครับ - เดิมๆที่อยู่ในตู้โบเวอร์บ้านเราจะเป็นแบบนี้ครับ เป็นคอยล์ต้านทานครับ (ตัวที่ตั้งยืนพิงอยู่) - อันนี้ล่ะครับ อยู่ในตู้โบเวอร์ครับ ของผมก็เก่าๆ โบราณอีกแล้ว แต่ใช้งานได้ดีครับ หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ครับทรานซิสเตอร์ ตัวถัง TO-3 1.12 ชุดสายไฟ ตัวนี้ถ้าจะไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะเหมือนขาดๆอะไรไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ส่วนที่สำคัญมาก ประมาณว่ามีก็ดีไม่มีก็ได้ เพราะชุดสายไฟนั้นถ้าช่างที่ชำนาญแล้วจะสามารถตัดแต่งดัดแปลงจากชุดสายไฟเดิมได้ครับ แต่ที่ต้องมีแน่ๆ คือ "ปลั๊ก" ครับ ปลั๊กต่างๆ เช่นปลั๊กของชุดกรอบแอร์ ปลั๊กเซนเซอร์ ปลั๊กมอเตอร์ต่างๆ แต่ก็อย่างว่านั่นล่ะครับ ไม่มีก็ได้แต่คงไม่น่าดูและยากต่อการ service หรือกับคนที่ชอบรื้อรถเล่น D.I.Y อะไรเล่นๆ (ผมก็คนหนึ่ง) - ชุดสายไฟผมไม่มีรูปให้ดู(ขออภัย) เพราะไม่อยากรื้อ เดี๋ยวจะงานใหญ่ไป สรุปก่อนจบ (1.) เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ กว่าจะจบตอนนี้ได้ รื้อรถตัวเองซะเลย (ไม่เป็นไรครับ รื้อเล่นอยู่บ่อย ) เพื่อผมพยายามให้เพื่อนๆมองเห็นภาพจริงๆว่ามันเป็นยังไง รูปก็เลยเยอะไปหน่อย จริงๆก็เยอะกว่านี้ครับ แต่ต้องตัดออกไปบ้างเดี๋ยวมันจะโหลดนานไป จริงๆส่วนที่ 1. นี้มันมีรายละเอียดเยอะมากๆ ถ้าเอาแบบลงลึกเกินไปมันจะน่าเบื่อเปล่าๆ อยากให้อ่านแบบไม่เครียด ไม่ต้องลงวิชาการมากครับ จบส่วนนี้แล้วมีอะไรสงสัยหรือผมผิดพลาดตรงไหนก็แจ้งได้เลยครับ
2. กรอบแอร์ประเภทต่างๆ สามารถแบ่งออกเป็นแบบไหนบ้างมาดูกันครับ ส่วนเรื่องลายภายนอกจะเคฟล่า หรือดำ หรือลายไม้ ไม่พูดถึงนะ และก็จะเป็นเวอร์ชั่น LEV หรือ Vi-RS หรือ TypeR ก็ไม่พูดถึงเหมือนกัน จะเอาที่ระบบเป็นสำคัญครับ ก่อนอื่นก็ต้องบอกกันให้คิดก่อนนะครับว่า กรอบแอร์นั้นมีทั้งแบบสำหรับรถพวงมาลัยขวาและพวงมาลัยซ้าย ซึ่งบางคนอาจจะลืมนึกถึงส่วนนี้ไป บางทีเห็นลงประกาศขายอยู่แต่ไม่มีรูปให้ดู ซื้อมาอาจจะมีฮากันล่ะครับ แต่จริงๆแล้วมันก็สามารถใช้งานกันได้เหมือนกันมีอยู่ก็แค่อันเดียวและก็เป็นระบบเดียวเท่านั้นที่(ผมคิดว่า)ไม่น่าจะใช้ได้ แต่ก็คงไม่เกินความสามารถช่างไทยครับ เดี๋ยวมาดูกันครับว่าแบบไหน - แบบนี้ครับ พวงมาลัยซ้ายแต่ใช้กรอบแอร์พวงมาลัยขวา มันก็ใช้ได้ครับแต่ตำแหน่งปุ่มมันจะไม่เหมาะ ควบคุมยาก(ต้องเอื้อมนิด) การเข้าถ้าปุ่มจะช้ากว่า - เทียบให้เห็นๆว่ามีทั้งสำหรับพวงมาลัยซ้ายและขวา ขอพูดเรื่องแบบออโต้กับไม่ออโต้ก่อนนะครับว่าต่างกันยังไง ส่วนจะใช้อะไรบ้างก็จะไปลงในรายละเอียดของแต่ละแบบครับ - แบบไม่ออโต้ แบบนี้จะไม่มีในส่วนของการประมวลผลหรือตรวจวัดอุณหภูมิ ดังนั้นระดับความร้อน-เย็นที่ออกมาจะได้จาก mix ในตู้แบ่งลมหรือตู้ air mix นั่นเอง ซึ่งในช่วงจังหวะหรือเวลาบางครั้งเราจะรู้สึกว่าแอร์เย็นหรือร้อนไปทั้งๆที่เราปรับปุ่มอุณหภูมิไว้เท่าเดิม เช่นกลางวันต้องปรับลดลง(เร่งเย็น) กลางคืนต้องปรับเพิ่มขึ้น (เร่งอุ่น) ก็จากที่ผมบอกว่าไม่มีส่วนที่จะมาคอยประมวลผลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม(ปัจจัยอื่นๆ เช่นแสงแดด, ฝน หรือฤดูกาล) ไงครับ มันจะมีแต่สิ่งที่อยู่ในตู้แอร์(Thermostat)เท่านั้นที่เอามาคิด ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่านะครับ เดี๋ยวลองอ่านต่อแบบออโต้ดูครับเผื่อจะพอเห็นภาพขึ้นมาบ้าง - แบบออโต้ แบบนี้จะเพิ่มส่วนของการตรวจสอบอุณหภูมิภายนอกมาใช้ในการประมวลผลในการทำงานของแอร์ด้วย โดยระบบแอร์จะพยายามรักษาระดับอุณหภูมิให้ได้เท่ากับตัวเลขที่เราปรับไว้ตรงปุ่มปรับอุณหภูมิ (ในความเป็นจริงระบบต้องสมบุรณ์จริงๆถึงจะได้ตามนั้น) โดยจะมีเซนเซอร์ที่จะมาเกี่ยวข้องอีก 3 ตัวคือ Exterior Temperature Sensor(1.7), Interior Temperature Sensor(1.8) และ UV Sensor(1.9) และในส่วนควบคุมที่กรอบแอร์ก็จะใช้คนละแบบกันกับแบบไม่ออโต้ การทำงานทั้งหมดจะมีการปรับลด-เพิ่ม-ชดเชย อุณหภูมิกัน และไม่ใช่แค่นั้นในการกระจายทิศทางลมหรือช่องแอร์มีการปรับอยู่ตลอดเวลา(ในโหมดออโต้) เพื่อให้อุณหภูมิเท่ากันทั่วห้องโดยสาร 2.1 แบบสไลต์ แบบนี้จะเป็นของปี 96-98 ครับ - สไลด์เดิมๆแบบบ้านเรา ไม่พูดอะไรมากล่ะกันนะครับ เพราะรู้กันอยู่แล้ว การทำงานของมันก็ใช้ระบบ Thermostat ในการควบคุมอุณหภูมิ และไม่มีตัวฮีตเตอร์ - สไลด์ตัวนอก (ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของ Type R ที่เข้ามา) ตัวนี้หน้าตาก็ไม่ต่างจากของบ้านเรามากนัก (ไม่ใช่ที่ลายนะ) ที่ต่างก็จะเป็นที่ตัวนอกนั้นจะมีส่วนของการควบคุมอุณหภูมิโดยใช้ระบบ air mix คือมันจะมีส่วนของฮีตเตอร์มาเกี่ยวข้องและทำงานร่วมกับ Thermostat ด้วย ทำให้การควบคุมอุณหภูมินั้นอยู่ที่การผสมลมร้อนและลมเย็นด้วยกัน โดยมีสายเคเบิลลิงค์เชื่อมโยงไปยังตู้แอร์มิกซ์ ตรงนี้ล่ะครับ ที่ผมบอกว่ากรอบแอร์บางประเภทซ้าย-ขวามาแทนกันไม่ได้ แต่ช่างไทยก็อย่างว่าครับ "ไม่ใช่ปัญหา" ส่วนใหญ่แล้วกรอบแอร์แบบนี้ที่เอามาใช้ในบ้านเราก็ไม่มีส่วนแอร์มิกซ์จะเหลือแต่ ระบบ Thermostat อย่างเดียว แต่นี้การทำงานก็เหมือนกับแบบสไลด์เดิมๆแบบบ้านเราแล้วครับ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็คงพอเข้าใจนะครับ มาเปรียบเทียบกันนะครับว่าต่างกันยังไง ให้ดูที่ส่วนควบคุมอุณหภูมิครับ ของบ้านเราจะมีเฉพาะแถบสีน้ำเงิน(ความเย็น) แต่ส่วนของนอกจะมีแถบสีแดง(ความร้อน) เพื่อผสมเป็นสัดส่วนในตู้ air mix เข้าใจนะครับ ถ้ายังไม่เข้าใจให้นึกถึงนี้หลายๆคนเข้าใจแน่ๆ ให้นึกถึงอ่างอาบน้ำในโรงแรม (อ่างที่อื่นผมไม่รู้ ) อยากได้น้ำร้อน-เย็นแค่ไหนก็ผสมเอา ทีนี้ปิ๊งๆๆขึ้นมาล่ะซิ เอาขำๆพอ มาดูรูปกันเลยดีกว่าครับ ระบบ - ออโต้ ==> กรอบแอร์แบบสไลด์นี้ไม่มีแบบออโต้ครับ - ไม่ออโต้ ==> หากเป็นกรอบแอร์แบบของบ้านเราก็คงไม่ต้องทำอะไรกับมันหรอกครับ แต่ถึงเป็นของนอกมาถ้าจะไม่เอาไม่เต็มระบบก็สามารถเปลี่ยนแทนของเดิมได้เลย แต่ถ้าจะเป็นเต็มระบบก็ต้องมาส่วนของตู้ air mix+heater และสายลิงค์ครับ แต่ส่วนใหญ่คนที่เปลี่ยนก็จะไม่ค่อยทำเพิ่ม ถ้าคิดจะทำเพิ่มส่วนใหญ่ไปเล่นแบบ 1 ปุ่มกับ3 ปุ่มซะมากกว่าครับ ก็ขอพอแค่นี้นะครับสำหรับแบบสไลด์ ถึงแม้รายละเอียดจะยังมีอีกเยอะ แต่เดี๋ยวมันจะออกไปทางวิชาการไป มันจะน่าเบื่อที่จะอ่านเปล่าๆครับ 2.2 แบบ 3 ปุ่ม 2 DIN แบบนี้จะเป็นของปี 99-00 ครับ จะแบ่งออกเป็น 2 ระบบอีกครับคือแบบออโต้กับไม่ออโต้ ทั้งสองหน้าตาต่างกันตรงไหนและมีทำงานต่างกันยังไงบ้าง เอาหน้าตาก่อนละกันครับ ตำแหน่งปุ่มจะเหมือนกันครับ แต่ถ้าดูแต่ละปุ่มจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว เรียงทีละปุ่มนะ ปุ่มที่ 1 (บน) เป็นปุ่มโหมด ในของออโต้จะมีตำแหน่งเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่งคือคำว่า Auto ปุ่มที่ 2 (กลาง) เป็นปุ่มอุณหภูมิ ในของแบบออโต้จะมีตัวเลขบอกอุณหภูมิแต่แบบไม่ออโต้จะมีแถบสีน้ำเงิน-แดงหรือเรียกว่าแถบแอร์มิกซ์ครับ ปุ่มที่ 3 (ล่าง) เป็นปุ่มสปีดโบเวอร์ ในของออโต้ ความแรงลมจะมีคำว่า Auto อันด้านซ้ายแบบไม่ออโต้ ส่วนอันด้านขวาแบบออโต้ครับ ระบบ - แบบ 3 ปุ่มไม่ออโต้ แบบนี้ในส่วนของระบบจะเหมือนกับกรอบแอร์แบบสไลด์ของตัวนอกนะครับ จะต่างกันนิดหน่อยตรงที่แบบสไลด์จะใช่สายลิงค์ของตู้ air mix เชื่อมต่อกับปุ่มเลื่อนสไลด์โดยตรง แต่แบบ 3 ปุ่มจะใช้มอเตอร์แทนครับ ด้านการติดตั้ง - เต็มระบบ ใช้ของในหัวข้อที่ 1 เกือบทุกตัวจะยกเว้นแค่ Exterior Temperature Sensor(1.7), Interior Temperature Sensor(1.8) และ UV Sensor(1.9) - ไม่เต็มระบบก็เหมือนกับแบบเต็มระบบครับ และมีส่วนที่เอาออกเพิ่มคือ ตู้แบ่งลมที่มี Heater(1.1), เสื้อน้ำ(1.3), วาล์วน้ำ(1.4) และท่อน้ำร้อนเข้า-ออกตู้ Heater(1.5) - แบบ 3 ปุ่มออโต้ ก็จะมีเซนเซอร์เพิ่มเข้ามา 3 ตัวจากที่กล่าวมาด้านบน (ต้นหัวข้อ 2) ด้านการติดตั้ง - เต็มระบบ ใช้ของในหัวข้อที่ 1ครบหมดทุกตัวเลยครับ - ไม่เต็มระบบ แบบไม่เต็มระบบของ 3 ปุ่มนี้ยังไงก็ควรมีเซนเซอร์ Exterior Temperature Sensor(1.7), Interior Temperature Sensor(1.8) และ UV Sensor(1.9) 3 ตัวนี้ด้วย และที่เอาออกก็เหมือนกับแบบ 3 ปุ่มไม่ออโต้ครับ คือเอาในส่วนของระบบ Heater ออก แต่จะไม่สามารถปรับลด-เพิ่มอุณหภูมิที่ปุ่มปรับได้ ถึงยังไงก็สามารถแปลงได้ โดยใช้ระบบ Thermostat เข้ามาแท็ปเอา มันค่อนข้างจะอธิบายยากครับ ให้คิดอย่างนี้ล่ะกันคือระบบไม่ออโต้จะใช้ Thermostat เป็นการกำหนดการทำงานของคอมแอร์ แต่ระบบออโต้จะใช้ Processor ในการกำหนดการทำงานของคอมแอร์ โดยเอาสัญญาณจากเซนเซอร์แต่ละตัวมาประมวลผลอีกที เพราะฉนั้นในการแปลงก็คือเอาระบบ Thermostar เข้ามาแทนที่ครับ สงสัยยิ่งอธิบายจะยิ่งงงนะ จบแค่นี้ล่ะ อื้ม!! ลืมไป เสริมตรงนี้ล่ะกัน คือในแบบ 3 ปุ่มนี้ ส่วนของท่อแอร์นั้นต้องมีการแก้ไขนะครับ เพราะช่องไม่ตรงกัน โดยจะหาตรงรุ่นมาหรือตัดต่อของเดิมเอาก็ได้ครับ 2.3 แบบ 1 ปุ่ม แบบนี้ทั้งหมดก็จะเป็นออโต้ครับ หน้าตาก็จะมีเยอะหน่อยเช่น มีจอเนฯ, แบบ 1 DIN และแบบ 1 DIN ที่ Biut-in วิทยุมาด้วย ในส่วนของการทำงานของแอร์ก็จะเหมือนกันหมดจะต่างที่ Option มันมากกว่าครับ - 1 ปุ่ม 1 DIN - 1ปุ่ม จอเนฯ การแสดงผล การทำงานของแอร์ระหว่าจอเนฯกับ 1 DIN ระบบ - แบบปุ่มเดียวนี้มีเฉพาะออโต้เท่านั้น ดังนั้นการทำก็เหมือนๆกับแบบ 3 ปุ่มออโต้ครับ แถมๆครับ ในแบบจอเนฯนี้ มีของเล่นเยอะมากครับที่จะมาพ่วงกับมันได้แก่ ชุดเนวิเกเตอร์(มีแผ่นแผนที่+กล่องเนวิเกเตอร์ตัวรับ GPS), ตัวเล่นคาสเซตเทป, ตู้ CD Changer และ ชุด TV Tuner ครับ 3. สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไป - สิ่งที่ได้มาคือการหลุดพ้นจากของเดิมๆติดรถ (ไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่ ) การปรับปรุงหรือตรวจเช็คระบบแอร์ใหม่ไปในตัว (ถ้าทำแบบเต็มมีตู้ Heater นะ) ในส่วนประโยขน์ของการมีตู้ Heater นั้น ก็ช่วยในช่วงฤดูหนาวได้ดีครับออกจากห้องแอร์ที่ทำงานมาก็อยากหาที่อุ่นอยู่ซะหน่อย เรื่องของการกระจายความเย็น (ในโหมดออโต้) ก็สามารถทำได้ดี -สิ่งที่เสียไปก็แน่นอนครับเรื่องเงินอยู่แล้ว การบำรุงรักษาก็ต้องมีมากว่าแน่นอน รถช้ำนิดหน่อยยิ่งมีตู้ Heater ด้วยก็ต้องเจาะรถ และต่อเสื้อน้ำที่เครื่อง(บล็อค D เท่านั้น) เพิ่มด้วย 4. ข้อควรระวังนิดหน่อย ในการติดตั้งแบบเต็มระบบคือมีตู้ Heater ด้วยนั้น ก็จะมีการแบ่งน้ำในระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์มาใช้ด้วย ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่ในช่วงแรกๆหลังการติดตั้งมา ต้อง!! หมั่นดูน้ำในระบบหล่อเย็นด้วย เดี๋ยวจะเกิดอาการเครื่องฮีทกันอีก ไม่ใช่เฉพาะต้องทำแอร์เท่านั้น แค่การเปลี่ยนถ่ายน้ำหม้อน้ำของรถทั่วไปก็ต้องหมั่นดูน้ำด้วยเช่นกันครับ ก่อนจบ. ก็เช่นเคยครับ บทความนี้ที่ผมทำขึ้นมาก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ชาว EK Gruop บ้างนะครับ ผมพยายามที่จะทำออกมาแบบอ่านสบายๆ อ่านแล้วไม่เครียด อย่าให้มันออกวิชาการมากไป ถึงแม้ว่าในรายละเอียดนั้นจะมีอีกค่อนข้างจะเยอะมากๆๆ ผมคงไม่ลงถึงการติดตั้ง การ wiring หรอกนะครับ การทำบทความนี้ผมใช้เวลานานพอสมควร ทั้งในเรื่องรูปถ่าย การวัดทดสอบอุปกรณ์มาให้ดู การเขียนบทความขึ้น อะไรหลายๆอย่าง เหนื่อยเลยครับบทความนี้ แต่ก็ชอบที่จะทำมาให้อ่านกันครับ และก็เหมือนเดิม ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยครับ และอีกอย่างล่ะกันคือบทความนี้ก็น่าจะอยู่ในส่วนของ >>> Knowledge Base <<< แต่ที่ผมลงไว้ที่กระทู้ธรรมดาเพราะหลายๆคนจะไม่ค่อยได้สนใจหรือไม่สังเกตุในหัวข้อที่ติดหมุดกันเท่าไหร่ จึงขออนุญาติลงไว้ที่นี้ให้ได้อ่านกันซักพักก่อน หลังจากกระทู้ตกไปแล้วก็คงต้องรบกวนผู้ดูแลระบบย้ายขึ้นไปไว้ที่ Knowledge Base ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ เอาล่ะจบได้แล้ว จบ......ซะที
ผมไม่ได้รับติดตั้งครับ แค่เอาความรู้ที่มีมาถ่ายทอดให้แค่นั้นครับ อย่างที่ผมบอกนั่นล่ะครับ ผมก็ไม่ใช่ช่าง