มินิ621 AOK รถรุ่นแรกโดยมอร์ริส มินิไมเนอร์ ผลิตปี 1959 รถมินิ (อังกฤษ: Mini) คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดยบริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาเข้าแทนที่โดยรถนิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 โดยบีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี รถมินิแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (ที่ 80% ของพื้นที่เป็นพื้นที่ของการโดยสารและกระเป๋า) ยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถในรุ่นต่อมา ในบางครั้งยังได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง รถเต่าโฟล์กสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ ลักษณะเด่นคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร , โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาในสเปน (Authi), เบลเยี่ยม, ชิลี, อิตาลี ,โปรตุเกส, แอฟริกาใต้ ,อุรุกวัย, เวเนซูเอลา และยูโกสลาเวีย รถมินิมาร์กวัน ต่อมามีรุ่น มาร์กทู, คลับแมน และมาร์กทรี ในนี้ยังมีรูปแบบที่หลากหลายเช่น รถโดยสาร รถบรรทุก รถแวน และมินิโม้ก (ที่มีรูปแบบเหมือนรถจี๊ป) ส่วนรถมินิคูเปอร์และคูเปอร์ "เอส" เป็นรถที่ดูสปอร์ตและประสบความสำเร็จในฐานะรถแรลลี่ ที่ชนะในการแข่งเซอร์กิตเดอโมนาโก ที่มอนเตการ์โล มาแล้วถึง 3 ครั้ง รถมินิมีแผนการตลาดภายใต้ออสตินและมอร์ริส ตั้งแต่มินิกลายเป็นยี่ห้อในปี ค.ศ. 1969
ภาพสเก็ต "มินิ" ของ เซอร์ อเล็กซ์ อิซซิกอนิส การออกแบบครั้งแรกอยู่ในโครงการ ADO15 (ย่อมาจาก Austin Drawing Office โครงการที่ 15) มินิเกิดมาจากปัญหาจากการขาดแคลนเชื้อเพลิง ในปี 1956 อันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์ซูเอซ ที่มีการลดการจ่ายน้ำมัน สหราชอาณาจักรเล็งเห็นว่าต้องรื้อฟื้นการจัดสรรเชื้อเพลิง ยอดขายรถใหญ่ตกลง และเกิดความครึกครื้นของตลาดรถที่เรียกว่า รถบับเบิล ที่มีต้นกำเนิดมาจากเยอรมนี ลีโอนาร์ด ลอร์ด หัวหน้าในบีเอ็มซีพิจารณาเห็นว่า จะต้องทำอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว เขาได้เริ่มสร้างความต้องการพื้นฐานการออกแบบ เช่น รถจะต้องอยู่ในกล่องที่มีขนาด 10 × 4 × 4 ฟุต (3 × 1.2 × 1.2 ม.) , ทีนั่งผู้โดยสารควรมีขนาด 6 ฟุต (1.8 ม.) และความยาว 10 ฟุต (3 ม.) และเครื่องยนต์อันเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านราคา ควรที่จะเป็นยูนิตมาตรฐาน อิซซิโกนิสผู้ที่ทำงานร่วมกับอัลวิสมาก่อน ได้กลับมาร่วมงานกับบีเอ็มซีอีกครั้งในปี 1955 และด้วยความชำนาญด้านการออกแบบรถเล็กอยู่แล้ว ทีมงานออกแบบรถมินิยังมี แจ็ก แดเนียลส์ (ที่เคยทำงานกับเขาเมื่อครั้งออกแบบ มอร์ริส ไมเนอร์) , คริส คิงแฮม (เคยร่วมงานอัลวิสมาก่อน) ,นักเรียนวิศวกรรมศาสตร์เครื่องยนต์สองคน และผู้เขียนแบบอีก 4 คน โดยพวกเขาได้ร่วมออกแบบเป็นรถต้นแบบเมื่อเดือนตุลาคม 1957 ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "กล่องสีส้ม" อันเนื่องมาจากสีของมัน ADO15 ใช้ลักษณะทั่วไปของบีเอ็มซี เอ-ซีรีส์ 4 กระบอกสูบ เครื่องยนต์ใช้น้ำลดความร้อน แต่นอกเหนือไปจากนั้นยังมี Transverse engine กับน้ำมันหล่อลื่น ,ระบบขับเคลื่อน 4 สปีด และขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ส่วนมากรถเล็กขับเคลื่อนล้อหน้าจะพัฒนาในลักษณะคล้าย ๆ กันในรูปแบบนี้ หม้อน้ำรถยนต์อยู่ข้างซ้าย และยังสามารถมีพัดลม แต่ลมที่กลับมามีความกดอากาศต่ำใต้ปีกหน้า ตรงจุดนี้เป็นเยี่ยมในด้านระยะทางของพาหนะ แต่มีจุดด้อยด้านระบายความร้อนหม้อน้ำรถยนต์ผ่านเครื่องยนต์ ภายในรถมอร์ริส มินิไมเนอร์ ปี 1959ระบบกันสะเทือนออกแบบโดยเพื่อนของอิซซิโกนิส ที่ชื่อ ดร. อเล็ก โมลตันจากโมลตัน ดีเวลล็อปเมนต์ส จำกัด ใช้ระบบเต้ายางแทน ระบบนี้ช่วงลดขนาดระบบกันสะเทือนซึ่งก็หมายถึงใช้พื้นที่ได้น้อยลง อยู่ในตำแหน่งซับเฟรม (รองรับเครื่องยนต์ เกียร์ กับชิ้นส่วนช่วงล่าง) การใช้เต้ายางทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่น แต่ล้อผลักออกมาที่มุมของรถ ทำให้มินิมีลักษณะการควบคุมเหมือนรถโกคาร์ต ตอนแรกได้วางแผนไว้ว่าจะเชื่อมระบบของเหลวไว้ด้วยกัน เหมือนกับที่อิซซิโกนิสและโมลตันเคยทำงานร่วมกันในอัลวิส ในช่วงทศวรรษ 1950 แต่การพัฒนาสั้นไปทำให้ไม่พร้อมสำหรับการออกในรถมินิ ระบบช่วงล่างเป็นระบบ Hydrolastic คือเป็นระบบใช้น้ำเป็นของเหลวแทนน้ำมันในกระเปาะรองรับน้ำหนักของรถ ใช้ครั้งแรกใน ออสติน 1100 ออกในปี 1962 กระทะล้อขอบ 10 นิ้ว ทำให้ยางรถต้องพัฒนาตามมาด้วย ซึ่งได้ร่วมกับบริษัทดันล็อป หน้าต่างเป็นหน้าตาบานเลื่อนอยู่ในประตู และยังมีที่เก็บของเล้ก ๆ ในพื้นที่ที่เป็นกลไกลหมุนของหน้าต่าง อิซซิโกนิสพูดว่า ขนาดของพื้นที่เก็บของมาจากความต้องการจะเก็บขวดกอร์กินที่เขาชื่นชอบบนรถ ส่วนฝากระโปรงก็มีติดบานพับไว้ที่ก้นทำให้รถสามารถเก็บสัมภาระได้มากขึ้น การผลิตรถในช่วงแรกป้ายทะเบียนรถจะมีบานพับ และจะทำให้เห็นว่ากระโปรงรถเปิดไว้ แต่การออกแบบนี้ก็ไม่ได้ผลิตต่อเนื่องจากพบว่าอาจทำให้แก๊สไหลมาที่ที่นั่งคนขับได้เมื่อกระโปรงรถเปิด รถมินิมีโครงแบบโมโนคิว (monocoque) เชื่อมรอยต่อซึ่งจะเห็นจากข้างนอกตัวรถจาก A-pillar และ C-pillar และระหว่างตัวรถและพื้นรถที่จะเป็นรอยต่อ เพื่อให้โครงสร้างง่ายขึ้น ส่วนประกอบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจะใช้ขนาดที่น้อยที่สุดแต่ได้พื้นที่ภายในที่มากที่สุดสำหรับผู้โดยสารและสัมภาระ หุ่นจำลองจะดูแตกต่างจากรถต้นแบบ โดยมีการเพิ่มซับเฟรมที่ด้านหน้าและด้านข้าง ถึงยูนิบอดี้ให้รับแรงสะเทือนได้และการเข้าโค้ง โดยมีคาร์บูเรเตอร์อยู่ข้างหลังแทนที่จะเป็นด้านหน้า ยังต้องการปรับเปลี่ยนเฟืองพิเศษเพื่อที่จะวางเครื่องและสายพานในทางทิศทางตรงข้ามของเครื่องยนต์ การลดเฟืองทำให้มีประสิทธิภาพของน้ำหนักในกล่องเฟืองและช่วยป้องกัน ชุดเฟืองความฝืด (synchromesh) ที่เป็นปัญหาในรถแม่แบบช่วงแรก ขนาดเครื่องยนต์ลดจาก 948 เป็น 848 ซีซี ที่ลดความเร็วสูงสุดจาก 90 ไมล์/ชม. (145 กม./ชม.) ให้ควบคุมได้ที่ ไมล์/ชม.(116 กม./ชม.) ถึงแม้ว่ารูปทรงจะมาจากประโยชน์ใช้สอย แต่รถมินิก็ได้เป็นสัญลักษณ์ที่คลาสสิก โรเวอร์กรุ๊ป เจ้าของบีเอ็มซี ได้จดรูปแบบการออกแบบให้ฐานะยี่ห้อสินค้า ภายในรถมอร์ริส มินิไมเนอร์ ปี 1959
เด็ดมาก จะบอกว่า มินิเป็นรถที่ขับดีมาก ขับเเล้วรู้สึกมั่นใจ โดยเฉพาะ CoOper S มันเเบบเหมือนขับโกคารท์เเรงๆเลยอ่ะ
มินิมาร์กวัน : 1959-67 มาร์กวัน ออสติน มินิ 850เดือนเมษายน 1959 มินิรุ่นแรกได้ออกสู่สาธารณชนเป็นการแนะนำสู่สื่อ ต่อมาเดือนสิงหาคม ก็ได้มีการผลิตออกมาหลายพันคันสำหรับการขายคำว่า "มินิ" ยังไม่ได้เป็นชื่อแรกที่ปรากฏในทันที โดยรุ่นแรกอยู่ภายใต้แบรนด์ของบีเอ็มซีที่ชื่อว่า ออสตินและมอร์ริส รุ่นออสตินเซเว่น (บางครั้งเขียนว่า SE7EN ในช่วงแรกที่ออก) ได้รับความนิยมสำหรับออสตินเซเว่นในยุคทศวรรษ 1920 และ 1930 ต่อมาในปี 1967 ในสหราชอาณาจักร (รวมถึงออสเตรเลีย) ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "มอริส มินิ ไมเนอร์" เพื่อให้ดูเหมือนเป็นการเล่นคำ จนกระทั่งในปี 1962 ได้ออกรุ่น ออสติน 850 และ มอร์ริส 850 ในอเมริกาเหนือและฝรั่งเศส และในเดนมาร์กในชื่อ ออสติน พาร์ตเนอร์ (ถึงปี 1964) และมอร์ริส มาสค็อต (ถึงปี 1981) จากนั้นออสตินเซเว่นได้ออกใหม่ในชื่อออสตินมินิ บริษัทรถชาร์ปสคอมเมอร์เชียลส์ (ต่อมาใช้ชื่อ บอนด์คาร์ส) ได้ใช้ชื่อ มินิคาร์ สำหรับรถ 3 ล้อ ตั้งแต่ปี 1949 แต่อย่างไรก็ตามในทางกฎหมายก็เลี่ยงไปได้ และบีเอ็มซีใช้คำว่า "มินิ" ให้นึกถึงว่ารถมีชีวิต ในปี 1964 ระบบกันสะเทือนเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกแบบของโมลตัน คือระบบ hydrolastic ทำให้ขับรถได้นิ่มขึ้นแต่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นรวมถึงค่าผลิตที่ตามมา จากนั้นเดือนตุลาคม 1965 การออกแบบเสริม ระบบขับเคลื่อน 4 สปีด เข้าไป ออกแบบโดย ออโตโมทีฟโปรดักส์ (เอพี) มาร์กวันมียอดขายที่แข็งแรงขึ้นมากกว่ารุ่นไหนในยุค 1960 มียอดขายรวม 1,190,000 คัน แต่รายได้รุ่นทั่วไปต่ำกว่าที่คาดไว้ มินิไม่ได้ทำเงินตามที่ขายได้ และเป็นสิ่งจำเป็นที่จะแข่งขันกับคู่แข่ง แต่ก็มีข่าวลือว่าอาจจะเป็นความผิดพลาดของเรื่องการบัญชี กำไรมาจากรุ่นหรู ๆ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ที่รัดเข็มขัด กระจกประตูและวิทยุ ที่จำเป็นต่อรถรุ่นใหม่ รถมินิเป็นที่เห็นชัดในวัฒนธรรมสมัยนิยมในยุค 1960 ว่าได้รับการเผยแพร่และซื้อโดยดาราภาพยนตร์และดารานักร้อง
มินิมาร์กทู : 1967-70 ออสติน มินิมาร์กทู คันทรีแมนจากปี 1967 ถึง 1970 อิซซิโกนิซ ได้ทดลองออกแบบรถมินิที่มีรูปทรงใหม่ที่เรียกว่า 9X ที่สั้นลงและมีกำลังมากกว่ามินิ แต่เนื่องจากเรื่องการเมืองในบริติชเลย์แลนด์ (ที่ได้รวมกับบริษัทแม่บีเอ็มซี บริติชมอเตอร์โฮล์ดิงส์แอนด์เดอะเลย์แลนด์มอเตอร์คอโปเรชัน) ทำให้รถไม่ได้รับการผลิตขึ้นมา ที่จะน่าทึ่งไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า ซึ่งหลายคนคาดว่าจะมีคู่แข่งทำในทศวรรษ 1980 ตะแกรงหน้ารถของ รถมินิมาร์กทู ได้รับการออกแบบใหม่ หน้าต่างข้างใหญ่ขึ้น สิ่งเติมแต่งก็เปลี่ยนไป รถมาร์กทูผลิตขึ้นเป็นจำนวน 429,000 คัน รถมินิที่หลากหลายผลิตขึ้นใน Pamplona ในสเปน โดยบริษัท Authi ตั้งแต่ปี 1968 ส่วนใหญ่ภายใต้แบรนด์มอร์ริส หลังจากนั้นมินิก็โด่งดังสุด ๆ หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job ในปี 1969 ที่มีฉากหนึ่งที่มีการแข่งรถ โดยโจรในเรื่องขับรถมินิ 3 คันลงบันไดผ่านท่อระบายน้ำบนตึก จากนั้นก็ขับมาด้านหลังของรถบัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกทำมาทำใหม่ในปี 2003 โดยใช้รถนิวมินิ
มาร์กทรี ไรลี เอลฟ์ ปี 1968 รุ่นดัดแปลง มาร์กทรี ไรลี เอลฟ์ ปี 1968โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต (Wolseley Hornet) และ ไรลี เอลฟ์ (Riley Elf) (1961-69) :เป็นมินิเวอร์ชันที่ดูหรูหราขึ้น ทั้ง 2 รุ่นมีปีกข้างที่ยาวขึ้นเล็กน้อย กระโปรงหลังใหญ่ขึ้น ที่ทำให้เหมือนรถมีฝาประตูด้านหลังเหมือนรถทั่วไป ส่วนหน้าซึ่งออกแบบตะแกรงที่มีตรายี่ห้อไว้ด้วย และยังไม่แสดงถึงการใช้สอยจากรูปลักษณ์ภายนอก ฝาครอบล้อโครเมียมมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า ออสตินและมอร์ริส มินิ ส่วนกันชนก็ทำจากโครเมี่ยม แผงหน้าปัดไม้ ไรลี เอลฟ์จะราคาแพงกว่าโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต คำว่า โวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ใช้ครั้งแรในรถสปอร์ตช่วงทศวรรษ 1930 ขณะที่ เอลฟ์ มาจากรถโบราณไรลี สไปรต์ และรถสปอร์ต ในยุค 1930 เช่นกัน รถทั้ง 2 ชนิดออกมา 3 รุ่น เริ่มแรกเครื่องขนาด 848 ซีซี เปลี่ยนมาใช้คาบูเรตเตอร์ ในรุ่นคูเปอร์ 998 ซีซี ในมาร์กทู ในปี 1963 หน้าตาของมาร์กทรี ในปี 1966 หน้าต่างสามารถให้ลมผ่านได้ และยังซ่อนบานพับประตูก่อนที่จะเห็นในมินิทั่วไป ไรลี เอลฟ์ผลิตมาทั้งสิ้น 30,912 คัน ส่วนโวลส์ลีย์ ฮอร์เน็ต ผลิตมา 28,455 คัน มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์ และ ออสติน มินิ คันทรีแมน (196169, เฉพาะในสหราชอาณาจักร): รถโดยสาร 2 ประตูที่มีประตูหลังคู่ ทั้ง 2 รุ่นจะมีโครงรถที่ยาวขนาด 84 นิ้ว (2.14 ม.) เมื่อเทียบกับรถซาลูนที่ยาว 80.25 นิ้ว (2.04 ม.) รุ่นที่หรูหราจะมีการตกแต่ง ใช้ไม้ตกแต่งในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างในส่วนตัวเครื่องด้านหลัง ซึ่งทำให้รถดูใหญ่กว่ารถโดยสารมอร์ริสไมเนอร์ที่ดูเป็นรถวูดี้สไตล์อเมริกันในช่วงทศวรรษ 1950 มีการประเมินว่ามีการผลิตออสติน มินิ คันทรีแมน 108,000 คันและ มอร์ริส มินิ ทราเวลเลอร์จำนวน 99,000 คัน
มินิแวน (1960-82): สามารถรับน้ำหนักได้ ¼ ตัน โครงรถออกแบบมาให้ยาวเหมือนรุ่นทราเวลเลอร์แต่ไม่มีประตูข้าง ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1960 ในอังกฤษในฐานะรถที่ราคาถูกลง เพราะเป็นรถที่ใช้ในการค้า ไม่มีภาษี รถมินิแวนได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีน้ำหนัก 0.95 ตัน ผลิตมาทั้งสิ้น 521,494 คัน
มินิปิ๊กอัพ มินิโม๊ก (1964 และ 1968 ในสหราชอาณาจักร, 1966-82 ในออสเตรเลีย และ 1983-89 ในโปรตุเกส): เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อกองทัพอังกฤษ ที่มีขนาด 600 เครื่องยนต์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถไต่ระดับความชันได้ 2 ต่อ 1 แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่เพียงพอสำหรับกองทัพ รถมินิโม๊กเครื่องเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าได้รับความนิยมสำหรับผู้ใช้พลเรือน ผลิตประมาณ 50,000 คัน รถได้ปรากฏในรายการทางโทรทัศน์ซีรีส์เรื่อง The Prisoner และเป็นที่นิยมในสถานที่พักตากอากาศอย่างบาร์บาโดสและมาเก๊า ซึ่งมินิโม๊กจะใช้เป็นรถตำรวจ และยังมีไว้สำหรับเช่าตั้งแต่ มีนาคม 2006 มินิปิ๊กอัพ (1961-82): รถปิ๊กอัพมีขนาดความยาวตั้งแต่หัวถึงท้ายที่ 11 ฟุต สร้างบนโครงที่ยาวกว่ารถมินิแวน ที่มีส่วนท้ายเปิดโล่งสำหรับบรรทุกของและประตูท้าย โรงงานได้ระบุน้ำหนักการขนของว่าให้น้อยกว่า 1,500 ปอนด์ ด้วยน้ำมันเต็ม 6 แกลลอน ปิ๊กอัพไม่มีตะแกรงโครเมียม ใช้เหล็กปั๊มธรรมดาที่สามารถให้อากาศไหลเวียนจากเครื่องยนต์ ปิ๊กอัพออกแบบมาให้มีความเรียบง่าย ถึงแม้ว่าโบรชัวร์จากโรงงานจะโฆษณาว่า "กับอุปกรณ์ที่ครบครัน มินิปิ๊กอัพยังมี recirculatory heater, ที่บังแดดด้านข้างของผู้โดยสาร ,เข็มขัดนิรภัย ,แผ่นกันลม , tilt tube ในราคาพิเศษ" เช่นเดียวกับมินิแวน ปิ๊กอัพเปลี่ยนชื่อในเวลาต่อมาเป็น มินิ 95 ในปี 1978 มีการผลิตมินิปิ๊กอัพทั้งสิ้น 58,179 คัน มอร์ริสมินิเค (มีนาคม 1969 - สิงหาคม 1971 ในออสเตรเลียเท่านั้น): ผลิตโดยโรงงานออสเตรเลียนบรติชมอเตอร์คอร์โปเรชัน ในเซ็ทแลนด์ มีการโฆษณารถว่าเป็น "การก้าวกระโดดครั้งใหญ่" มินิเค (คำว่า เค (K) ย่อมาจาก Kangaroo หรือจิงโจ้) มีเครื่องยนต์ 1098 ซีซี เป็นรถกลมมนรุ่นสุดท้ายที่ผลิตในออสเตรเลีย ราคาแรกเริ่มที่ 1,780 เหรียญออสเตรเลีย
ออสตินมินิคูเปอร์เอส ปี 1963 มินิคูเปอร์และคูเปอร์เอส : 1961-2000 ออสตินมินิคูเปอร์เอส ปี 1963เพื่อนของอิซซิโกนิสที่ชื่อ จอห์น คูเปอร์ เจ้าของบริษัทคูเปอร์คาร์ และยังเป็นนักออกแบบ รวมถึงผู้สร้างรถแข่งขัน เห็นแนวโน้มของมินิ อิซซิโกนิสในตอนแรกไม่เต็มใจที่จะเห็นรถมินิในการแข่งขัน แต่หลังจากที่จอห์น คูเปอร์ได้ขอร้องทางบีเอ็มซีแล้ว ก็มีการร่วมงานกันผลิตมินิคูเปอร์ ที่มีความว่องไว ประหยัด และเป็นรถที่ไม่แพง รถออสตินมินิคูเปอร์และมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1961 รถมอร์ริส มินิ-ไมเนอร์ ดั้งเดิมมีขนาดเครื่องยนตร์ 848 ซีซี จนได้เพิ่มมาเป็น 997 ซีซี สามารถเร่งเครื่องจาก 34 บีเอชพี (แรงม้า) ไป 55 บีเอชพี (25 ไป 41 กิโลวัตต์) รถยังมีเครื่องปรับ ,SU carburetor, เกียร์ closer-ratio และดิสก์เบรกหน้า ซึ่งเป็นสิ่งไม่ธรรมดาในรถเล็กตอนนั้น และออกแบบให้มาผ่านกฎโฮโมโลเกชัน สำหรับรถกรุ๊ป 2 ในการแข่งขันแรลลี ต่อมารถ 997 ซีซี เปลี่ยนมาเป็น 998 ซีซีในปี 1964 มินิคูเปอร์ รุ่นที่มีพละกำลังมากขึ้น จะมีคำว่า "เอส" (S) ได้พัฒนาและออกในปี 1963 ประกอบด้วยเครื่องยนตร์ 1071 ซีซี มีดิสก์เบรกที่เสริมแรงขึ้นมา มีคูเปอร์เอสจำนวน 4,030 คัน ผลิตขึ้นมาและขายจนมีการปรับปรุงในเดือนสิงหาคม 1964 และคูเปอร์ก็ยังคงผลิตขึ้นมาเพื่อการแข่งขัน ด้วยเครื่องยนตร์ 970 ซีซีและ 1275 ซีซี ทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์มีเสนอขายในสาธารณะ แต่เครื่องยนต์ที่เล็กกว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก รุ่น 1275 ซีซี คูเปอร์เอสผลิตออกมาจนถึงปี 1971 ยอดขายมินิคูเปอร์มียอดดังนี้ มาร์กวันคูเปอร์ ขายได้ 64,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 997 และ 998 ซีซี ; มาร์กวันคูเปอร์เอสขายได้ 19,000 คันกับรุ่นเครื่องยนต์ 970 ,971, 1071 หรือ 1275 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์ขายได้ 16,000 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 998 ซีซี; มาร์กทูคูเปอร์เอสขายได้ 6,300 คัน กับรุ่นเครื่องยนต์ 1275 ซีซี และมาร์กทรีคูเปอร์เอส ขายได้เพียง 1,570 คัน มินิคูเปอร์เอสได้รับชัยชนะในการแข่งขันมอนเตการ์โล ในปี 1964, 1965 และ 1967 และในปี 1966 รถมินิสามารถครองทั้งอันดับ 1 อันดับ 2 และอันดับ 3 แต่ก็ถูกปรับแพ้ไปหลังจากข้อขัดแย้งจากคณะกรรมการชาวฝรั่งเศส เนื่องจากความหลากหลายของไฟส่อง แทนที่จะใช้แทนที่จะใช้ไฟ 2 ไส้ ในขณะที่มีการพูดถึงว่ารถซีตรองดีเอสที่ได้ที่หนึ่ง แต่ใช้ไฟขาวก็ยังรอดจากการปรับแพ้ไปได้ ทำให้ผู้ขับรถซีตรอง Pauli Toivonen ได้รับถ้วยไปและเขาปฏิญาณไว้ว่าจะไม่มาขับซีตรองอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทบีเอ็มซีก็ยังได้โด่งดังเพิ่มขึ้นหลังจากถูกปรับแพ้มากกว่าที่พวกเขาชนะเสียอีก แต่ถ้าไม่รวมก็ถูกปรับแพ้ ก็ถือเป็นรถประเภทเดียวในประวัติศาสตร์ที่อยู่ใน 3 อันดับแรกของการแข่งขันมอนเตการ์โล 6 ปีติดต่อกัน ผู้ชนะการแข่งขันมอนเตการ์โลในปี 1965 : รถมอร์ริสมินิคูเปอร์ ปี 1964 ในปี 1971 การออกแบบรถมินิคูเปอร์ภายใต้ใบอนุญาตในอิตาลี โดยอินโนเซนติ และในปี 1973 โดยสเปนภายใต้ออธิ - Authi (Automoviles de Turismo Hispano-Ingleses) ที่เริ่มผลิตรุ่นอินโนเซนติมินิคูเปอร์ 1300 และ ออธิมินิคูเปอร์ 1300 ตามลำดับ รถมินิคูเปอร์ใหม่ ใช้ชื่อว่า RSP (Rover Special Products) ผลิตออกมาใหม่ในช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 1990-91 ที่มีสมรรถนะที่ต่ำกว่าคูเปอร์ในปีทศวรรษ 1960 เล็กน้อย และยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความนิยมในคูเปอร์ใหม่ ที่นำไปสู่การผลิตเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 1991 ต่อมาในปี 1992 คูเปอร์ได้ติดตั้งระบบอัดฉีดเชื้อเพลิงของเครื่อ 1275 ซีซี เข้าไป และในปี 1997 ได้เพิ่มระบบอัดฉีดเชื้อเพลิงหลายจุด เช่นเดียวกับการนำหม้อน้ำไปไว้ด้านหน้าและปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยหลายอย่าง
มินิคลับแมนและ 1275GT: 1969-80 ในปี 1969 ภายใต้กรรมสิทธิ์ของบริทิชเลย์แลนด์ รถมินิ ได้ปรับแต่งรูปโฉม ออกแบบโดยรอย เฮย์นส ที่เคยทำงานให้กับฟอร์ดมาก่อน การออกแบบครั้งนี้เรียกว่า มินิคลับแมน ที่มีรูปแบบเหลี่ยมกว่าในส่วนของด้านหน้า ใช้ส่วนต่าง ๆ ประกอบเหมือนกันอย่าง ไฟข้าง คล้ายกับ ออสตินแม็กซี เดิมทีผู้ผลิตตั้งใจจะให้มินิคลับแมนแทนที่รถของกลุ่มคนมีรายได้สูงอย่าง ไรเลย์ และ วูลส์ลีย์ รถรูปแบบใหม่นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า 1275GT และตั้งใจว่าจะมาแทนที่ มินิคูเปอร์ รุ่น 998 ซีซี (มินิคูเปอร์เอส 1275 ซีซี ยังคงเทียบเท่ากับ 1275GT เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ปี 1971) คลับแมนเอสเตด เข้ามาแทนที่คันทรีแมนและแทรเวลเลอร์ที่ออกไป มักมีการกล่าวอย่างผิด ๆ ว่า 1275GT คือ "มินิคลับแมน 1275GT" ซึ่งจริงๆ แล้วชื่ออย่างเป็นทางการคือ "มินิ 1275GT" และมันก็ไม่เกี่ยวกัน ซึ่งแตกต่างจากคลับแมน (ถึงแม้ว่า ส่วนหน้าจะเหมือนกัน มินิคลับแมน และออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน) ในปี 1971 มินิคูเปอร์เอส รุ่น 1275 ซีซี เลิกผลิตในสหราชอาณาจักร เหลือแต่เพียง มินิ 1275GT รุ่นเดียวของมินิสปอร์ต ออกขายจนทิ้งสิ้นทศวรรษนั้น ในอิตาลี อินโนเซนติยังคงออกมินิคูเปอร์เวอร์ชันของตัวเองในบางครั้ง และในออสเตรเลียตั้งแต่กลางปี 1971 ถึง ปลายปี 1972 ได้มีการผลิตคลับแมนจีทีในท้องถิ่น ที่ประกอบด้วยส่วนบอดี้ในลักษณะของคูเปอร์เอสแบบคลับแมน มีดิสก์เบรก 7 1/2" เหมือนกัน, ถังน้ำมันคู่, และคาร์บูเรเตอร์คู่ แบบคูเปอร์เอส รุ่น 1275 ซีซี ขณะที่ในสหราชอาณาจักร 1275GT ผลิตออกมาไม่ได้ใกล้เคียงและเร็วเท่า 1275 มินิคูเปอร์เอส มันราคาถูกกว่า และยังเป็นมินิรุ่นแรกที่มีเครื่องมือวัดความเร็ว และยังมีเกียร์ close-ratio รุ่นมาตรฐาน สมรรถนะของ 1275GT ด้านความเร็วที่สามารถเร่งจาก 0–60 ไมล์ต่อชั่วโมง ใน 12.9 วินาที และกำลังมิดค่ากลางดีเลิศ อยู่ที่ 30–50 ไมล์ต่อชั่วโมง และถ้าเกียร์สูงสุดได้เร็วภายใน 9 วินาที และเครื่องสามารถแตะถึง 90 ไมล์ต่อชั่วโมง (14 กม./ชม.) ส่วนเครื่องรุ่น 1275 ซีซี ซีรีส์เอ มีราคาถูกและหมุนเคลื่อนง่ายกว่า อีกทั้งริ้วประตู "sidewinder" ติดตาย ซึ่งหมายถึงว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษ "สำหรับเด็กนักแข่ง" ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1970 ถึง 1980
ขอเสริมนิดนึงในฐานะที่ผมคลุกคลีกับมินิมาเกือบทั้งชีวิต (แม่อุ้มท้องไปคลอดก็ไปในรถมินิที่พ่อขับด้วย) ทั้งรุ่น Clubman และ 1275GT นั้นเดิมทีทางบริษัท BLMC (British Leyland Motor Company) ต้องการที่จะให้สายของรุ่น Clubman มาอยู่ในไลน์ของตัวหัวแถวแทนที่ของรุ่น Mk2 ที่ออกมาในช่วงคาบเกี่ยวระยะ 2-3 ปี แรกเริ่มนั้นยังมีรุ่น Mk2 อยู่เป็นการล้างสต็อค จนช่วงต้นปี 70 ทางผู้บริหาร BLMC ตัดสินใจเปลี่ยนสไตล์ตัวถังเล็กน้อย ต้องบอกว่าเล็กน้อยเพราะจุดที่เปลี่ยนใหญ่ๆจากตัวถังยุคแรกก็คือ 1. ประตูบานใหญ่ขึ้น สังเกตจากเสาบนของกรอบประตูที่สูงกว่าเดิม 2. กรอบบานกระจกหลังใหญ่กว่าของเดิม 3. เปลี่ยนไฟท้ายทรงมน เป็นทรงเหลี่ยม 2 ช่อง ที่เอามาจาก Mini Mk2 (ยาวนานมากจนถึงปี 75-76 ถึงจะเริ่มมี 3 ช่อง) 4. เปลี่ยนแผงคอนโซลหน้าใหม่หมด จากจอเรือนไมล์ตรงกลางมาเป็นฝั่งคนขับ (แบบนี้ใช้จนถึงรุ่นสุดท้ายในปี 2000) 5. เปลี่ยนโลโก้ท้ายและหน้ารถ ด้านหน้ารถจะเป็นทรงโล่ห์ ส่วนด้านหลังจะเป็นอักษรเอียงหนา และมีคำว่า Mini อยู่ตรงกลาง 6. ประตูเปลี่ยนทรง จากเดิมที่มีช่องเว้าโค้งให้ใส่ของได้ เปลี่ยนเป็นแผ่นตันที่บุหุ้มด้วยหนัง แล้วเปลี่ยนคันเปิดประตูด้านในให้ไปอยู่เยื้องด้านหน้า 7. เปลี่ยนที่เปิดประตูจากบิดลงล่าง มาเป็นปุ่มกดให้เปิด 8. เสริมเข็มขัดนิรภัยตามข้อบังคับของกฏหมายอังกฤษ นั่นก็คือการเปลี่ยนแบบคร่าวๆ แต่สำหรับตัวบอดี้หลักๆ (หน้าโหนก) จะใช้ตามรูปแบบข้างต้น แล้วมีหน้ากระจังทรงเหลี่ยมขึ้นแบบที่ใช้ในรุ่น Mk2 มา (และใช้จนถึงรุ่นสุดท้ายในปี 2000 เช่นเคย) แต่ส่วนหน้าเหลี่ยมอย่าง Clubman นั้นมีหน้ากระจังสองแบบ แบบแรกเป็นกระจังเหล็ก มีตรามินิอยู่เป็นรูปทรงเหมือนว่าวเรียวๆยาวๆ อยู่ตรงกลาง มีเขียนคำว่า Mini อยู่ ส่วนอีกแบบจะคล้ายกัน แต่ยี่ห้อจะเป็นป้ายเหมือนกางเขนสีดำๆแทน ส่วน 1275GT นั้นเดิมเป็นรุ่นที่จะมาทดแทน Cooper และ Cooper S แต่สเป็คเครื่องจะด้อยกว่า Cooper S อยู่หน่อย เพราะสมัยนั้นจอห์นคูเปอร์ไม่ต้องการจะทำรุ่นพิเศษต่อ (เพราะมีปัญหากับทาง BLMC โดยเฉพาะเรื่องนโยบายอะไรเนี่ยล่ะ) ทาง BLMC เลยทำรุ่น "หัวแถว" อย่าง 1275GT ออกมาให้ซิ่งเล่น Clubman กับ 1275GT เป็นรถรุ่นแรกๆของโลกที่ใช้หน้าปัดแบบอิเล็คโทรนิกส์แผงยกชิ้น (เมื่อก่อนจะเป็นแยกชิ้นเหมือนซื้อมิเตอร์แยก) อันนี้ผมเคยรื้อมาแล้วด้วย แต่ไม่ได้เก็บภาพเอาไว้ เป็นของ Smiths ทั้งหมด ส่วนเครื่องยนต์ในยุคที่มี Clubman กับ 1275GT นั้น เป็นบล็อค A-Series เหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงข้างในพอสมควร โดยเฉพาะความจุ แต่ความจุที่มากที่สุดอยู่ 1275 ซีซี ในรุ่น 1275GT แต่ความแรงพอสูสีกับ Cooper S รุ่นเก่าได้บ้าง เพราะของเดิมสำหรับ 1275GT ให้คาร์บู SU คู่ ส่วนรุ่นอื่นๆจะเป็น SU เดี่ยวๆ แต่ทาง BLMC เคยพัฒนาเครื่อง A-Series เป็นทวินแคม ที่เรียกว่า K-Series แต่ไม่ได้ผลิตออกมา หลังจากการประท้วงใหญ่ของสหภาพแรงงานทั่วเกาะอังกฤษ ทำให้บริษัท BLMC อยู่สถานะใกล้ล้มละลาย ทำให้ทางรัฐบาลตัดสินใจ "ดึงบริษัทจากเอกชนเป็นรัฐ" ทำให้เปลี่ยนแปลงชื่อเป็น British Leyland หรือ BL ก็หาเรื่องเปลี่ยนสินค้าเจ้ารถมินิอีกเล็กน้อยตรงที่ว่า 1. ไฟท้ายจากทรงเหลี่ยม 2 ก้อน ให้เป็น 3 ก้อนทรงยาว โดยเสริมไฟถอยหลังไปตามข้อบังคับกฏหมายของอังกฤษ 2. สำหรับ Clubman และ 1275GT ผลิตในล็อตใหม่ ต้องเปลี่ยนหน้ากระจัง เป็นตราแบบกากบาทกางเขนสีดำตรงกลาง ในเมืองไทยจะเจอแต่แบบเก่าเสียมากกว่า ทำให้แบบนี้ไม่ค่อยได้พบ 3. จอห์น คูเปอร์ ได้กลับมาร่วมงานกับทางมินิอีกครั้ง โดยตัดสินใจจะทำ Cooper S Mk3 คู่กับ 1275GT ตามคำเรียกร้องของหลายคน หลังจากนั้น ไลน์การผลิตของ Clubman กับ 1275GT ที่ยอดขายไม่ค่อยดีก็ค่อยๆปิดตัวลงในช่วงปลายปี 70 ช่วงที่ 1275GT เป็นที่นิยม ทางบริษัทเคยประกาศว่าจะทำรุ่นพิเศษที่เน้นสมรรถนะของ 1275GT ออกมานั่นก็คือ GTS แต่ก็ไม่มีใครได้พบเห็น และไม่มีข่าวรั่วไหล มีเพียงแต่ภาพโปสเตอร์ที่เคยประกาศโฆษณาเท่านั้น ส่วนนี้กำลังค้นหาอยู่ จริงๆมินิมีเยอะมากจนนรกแตกครับ ไว้ว่างๆจะมาเสริมให้ ส่วนในเมืองไทย มี Clubman พอให้เห็นอยู่บ้าง ไม่ถึงกับเยอะ แต่มีรุ่น 1275GT แท้ๆน้อยมากๆ พ่อผมเองเคยมีครอบครอง แต่ได้ขายให้กับคนที่อยากลองสัมผัสไป