ขอความรู้เรื่องปรับบูชไฟฟ้าหน่อยครับ

การสนทนาใน 'Evolution Thailand' เริ่มโดย claimmaker, 26 ธันวาคม 2007

< Previous Thread | Next Thread >
  1. claimmaker

    claimmaker New Member Member

    16
    0
    0
    คือพวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ ใช้ปรับบูชไฟฟ้าของอะไรกันอยู่ครับ สนใจจะติดบ้างเลยจะขอความเห็นหน่อยครับว่านอกจาก Profect B spec 2 ของ Greddy ที่ว่าใช้ง่าย ๆ ดี ๆ แล้ว มีของตัวอื่น ๆ ที่ใช้ง่าย ๆ ดี ๆ เหมือนกันรึป่าว แล้วปรับกันยังไงมีวิธีใช้บ้างมั๊ยครับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบครับ :D
     
  2. nismomonster

    nismomonster New Member Member

    339
    4
    0
    ก็มี profec b รุ่นใหม่ที่เพิ่งออกครับได้ข่าวว่าใช้ง่ายมากราคาน่าสนใจครับ
    ส่วนตัวผมใช้ profec b specll แต่ ไอ้เจ้านี่ ก็ใช้ไม่ง่ายนะครับตั้งค่ายุ่งยากนิดหน่อย แล้วยิ่ง hks evc รุ่นใหม่ๆที่เป็นจอแยกยิ่งยากเลยครับแต่ฟังก์ชั่นดีมากๆ อีกตัวที่น่าสนใจคือ blizt ครับเห้นทำอะไรได้เยอะแยะเลยครับราคาก็หมื่นกลางถึงปลาย(ถ้าจำไม่ผิดนะ อิอิอิ)
    รอท่านอื่นมาต่อเพิ่มเติมละกันนะครับ
     
  3. kukjung_4654

    kukjung_4654 New Member Moderator

    1,243
    10
    0
    ผมใช้ profec b ตัวแรก อ่ะ ใช้งานง่าย มากๆ ครับ
     
  4. Komi3~vOVo8

    Komi3~vOVo8 New Member Member

    104
    3
    0
    คงไม่มีอารายง่ายกว่านี้แล้วมั้งครับ........คนส่วนใหญ่ก็ใช่Profeb B กันทั้งนั้น
     
  5. Manolution

    Manolution New Member Member

    40
    0
    0
    AVC-R คับผมใช้ยากโครต !!!
     
  6. claimmaker

    claimmaker New Member Member

    16
    0
    0
    Greddy มีออก Profec B รุ่นใหม่แล้วหรอครับ เป็นตัวไหนแล้วดีกว่า spec 2 รึป่าวครับ มีรูปหรือ link มั๊ยครับ แล้วมัวิธีการปรับตั้ง spec 2 แบบละเอียดเป็นภาษาไทยให้ดูมั๊ยครับ

    ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ
     
  7. nismomonster

    nismomonster New Member Member

    339
    4
    0
    วิธีการใช้ Greddy ProfecBSpec II

    ทำความรู้จักกับความหมายของค่าต่างๆ กันก่อนที่จะเริ่มปรับดีกว่านะครับ เอาแบบชัวร์ๆ ใช้งานให้เต็มทุก function เลยดีกว่า

    SET หมายถึง boost pressure ที่ต้องการ แต่แทนที่จะตั้งเป็น bar หรือ psi แบบทั่วๆ ไป สำหรับของ Greddy Profec B spec II จะใช้การตั้ง % ของ solenoid valve คือ จาก 0% น้อยสุด ไปจนถึง 100% สูงสุด คือ valve ปิดตลอด จะไม่มีลมไปยก wastegate เลย คือ turbo ทำลมได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ ซึ่งการปรับตั้งในลักษณะนี้จะต้องอาศัยการทดลองค่าไปเรื่อยๆ คือค่อยๆ ปรับ % ไป แล้วลองขับแบบเหยียบมิดเลย อย่าลองมาก เดี๋ยวพังไม่รู้ด้วย เพราะถ้าบูสต์ไหล คือมันจะไปเลยนะ ก็ดูปรับ % ที่จะให้แรงบูสต์ที่ต้องการตลอดช่วง rpm ที่ต้องการ

    ซึ่ง SET นี้จะต้องตั้งแบบ conservative คือค่อยๆ เพิ่มไป ค่านี้ถ้าเยอะก็จะได้บูสต์เยอะ ซึ่งเขาแนะนำว่าเริ่มซัก 25% ก็พอไหว แค่นี้ก็เยอะพอแล้ว อย่างที่บอกครับ ค่อยๆ เพิ่มไป

    ซึ่งค่า SET นี้ ก็จะมีผลกับการบูสต์ของ turbo ซึ่งจะสัมพันธ์กับค่า GAIN ที่จะกล่าวถึงต่อไปด้วยครับ

    GAIN หมายถึง ค่าที่ใช้ปรับตั้งเพื่อให้ได้ความสม่ำเสมอของแรงดัน ผู้ผลิตเขาบอกว่าให้เริ่มต้นไว้ที่ 0 นั่นแหละดีแล้ว แล้วพอตอนเอารถไปวิ่งทดสอบแบบเหยียบมิด

    ถ้าขณะทดสอบ ถ้าสังเกตุว่าบูสต์มาเต็ม แล้วลดลงในขณะที่รอบสูง ก็ให้ปรับ gain ขึ้น ทีละนิดหน่อย เช่นอาจเริ่มต้นที่ 5% แล้วค่อย fine tune อีกทีละ 1% ไปเรื่อยๆ

    ซึ่งการปรับตั้งค่า GAIN นี้ จะมีผลทำให้แรงบูสต์สูงขึ้น ถึงแม้ว่าค่า SET จะอยู่ที่เดิมก็ตาม เพราะฉะนั้นในตอนเริ่มต้น ควรปรับตั้ง GAIN ไว้ที่ 0 เสมอ

    START BOOST ( หรือที่แสดงว่า SET GAIN บนหน้าปัด ) คือ ค่าต่ำสุดที่จะให้ปรับบูสต์เริ่มทำงาน สำหรับการใช้งานปกติแนะนำว่าให้ปรับให้ไกล้เคียงกับค่าแรงดันที่ตั้งไว้ใน SET ซึ่งจะมีผลให้บูสต์มาเร็วขึ้น เช่นกรณีที่ตั้ง SET ไว้เพื่อให้ได้บูสต์คงที่ที่ 0.80 bar อาจจะตั้ง SET GAIN ไว้ที่ 0.70 bar เป็นต้น

    หมายเหตุ : การตั้ง SET GAIN ใกล้กับแรงดันที่ SET มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการ boost spike คือบูสต์จะเกินที่ตั้งไว้ เล็กน้อย แล้วถอยกลับลงมา ซึ่งบางคนชอบ บางคนก็ไม่ชอบ เพราะอาจทำให้กำลังรถควบคุมยาก หรืออาจถึงกับพังได้ ถ้าเล่นกันที่บูสต์สูงๆ rpm สูงๆ

    ซึ่งคุณสามารถ fine-tune ค่า SET GAIN ให้ใกล้กับค่า SET ให้มากที่สุด โดยไม่เกิด boost spike จะทำให้ได้การตอบสนองของ turbo ที่ดีมาก ซึ่งเขาแนะนำว่าค่าที่ว่านี้ ควรตั้งใกล้กันไม่เกิน 4 psi ( 0.3 bar ? )

    WARNING คือการกำหนดค่าแรงดันสูงสุดที่คุณจะใช้งาน โดยสามารถกำหนดเป็นค่าตัวเลขแรงดันได้เลย เหมือนกับตอนตั้ง SET GAIN

    ซึ่งเมื่อแรงดัน turbo สูงถึงค่าที่กำหนดไว้ จะทำให้ LIMITER ทำงาน โดยการส่งสัญญาณเตือน และทำการลดบูสต์ลงโดยอัตโนมัติ ตามค่า % ของการลดค่าที่ปรับตั้งได้

    โดยปกติแล้ว WARNING จะ set ให้อยู่เกินค่าแรงดัน Hi Boost ไปเพียงเล็กน้อย เพื่อช่วยป้องกันเครื่องยนต์

    LIMITER คือ boost percentage ที่ตัวปรับบูสต์จะใช้เมื่อเกิด WARNING
    ซึ่งสามารถตั้งเป็นค่าเดียวกับ SET คือไม่ลดเลย เตือนอย่างเดียว หรือให้ลดไปจนถึง 0% คือ ปิดการทำงานของวาล์วปรับบูสต์ไปเลยก็ได้ ซึ่งแนะนำว่าให้ลดลงซัก 5% - 10% กำลังสวย รถจะวิ่งไม่ตื้อมาก

    PEAK คือแรงดันสูงสุดที่ปรับบูสต์บันทึกไว้ จนกว่าจะลบทิ้ง
    การลบค่าทำได้โดยขั้นตอนต่อไปนี้
    - กำหนดให้แสดง peak boost
    - กดลูกบิด แช่ไว้ จนมีเสียง ”ตี๊ด”
    – หน้าปัดจะแสดง “---“

    LAST BOOST แสดงค่าแรงดันสุดท้ายที่เกิดขึ้น เมื่อคุณถอนคันเร่งเกิน 3 วินาที
    แนะนำว่าให้เปิด function นี้ไว้เสมอ เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์การทำงานของรถคุณได้ดี

    โปรดระลึกเสมอ ว่าการเลือกให้แสดงค่าเป็น kPa จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ kPa ที่แท้จริง แต่เป็นค่า bars ซึ่ง Greddy มักจะติดเครื่องหมาย x 100 kPa ไว้บนหน้าปัด ซึ่ง 100 kPa จะแสดงว่าเป็น 1.0 x 100 kPa ซึ่งถ้าคุณเลือกให้แสดงค่าเป็น psi คราวนี้จะงงหนักเลย psi x 10 จะแสดงเป็น 190 ไปกันใหญ่แล้วนั่น

    และเมื่อคุณจ่ายไฟให้กับ Profec B Spec II เป็นครั้งแรก ค่า WARNING จะอยู่ที่ 14.5 psi ( 100kPa หรือ 1.0 bar ) เสมอ ซึ่งข้อมูลนี้จะไม่มีแสดงอยู่ใน manual นะ

    อุณหภูมิของอากาศก็มีผลกับการทำงานของ Profec B Spec II นะครับ ซึ่งพออากาศเปลี่ยน เขาก็เลยแนะนำว่า ทำ Lo ตอนอากาศเย็น แล้วทำ Hi ตอนอากาศร้อน ก็จะดีนะ เพราะคุณจะได้ไม่ไส่บูสต์ที่มากเกินไป แล้วเดี๋ยวเครื่องมันจะไม่ทน

    สำหรับแรงดันบูสต์ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเกียร์อาจจะแตกต่างกัน ทำให้การปรับตั้งดูจะซับซ้อนหน่อย แนะนำว่าให้ทดสอบแรงดัน และอาการของ turbo ในเกียร์ที่สูงหน่อยก็ดี จะได้ไม่มีปัญหาบูสต์เกินในภายหลัง ซึ่งอันนี้ก็เป็นปัญหาเดียวกันกับปรับบูสต์ electronics ทั่วๆ ไป

    เขาว่า วิธีการปรับตั้งที่น่าจะชดเชยปัญหาเหล่านี้ได้ ให้ทำแบบนี้ครับ
    1. ปรับค่าให้ใช้งานได้โดยปลอดภัยที่สุด โดยที่ยังไม่มีปัญหากับ LIMITER ก็คือทดสอบ และปรับกันในเกียร์สุดท้าย ( 5 หรือ 6 สำหรับผู้โชคดีบางคน )
    2. ให้ปรับค่า “Lo” และ “Hi” ให้สามารถใช้งานได้ดีในทุกๆ เกียร์ ซึ่งการทดสอบอาจกระทำได้โดยการกด “Hi” ระหว่างที่คุณกำลังเปลี่ยนขึ้นเกียร์ 3 หรือเมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการใช้งาน “Hi” เพราะเหตุนี้ Greddy ถึงออกแบบ controller ที่สามารถติดตั้งบนพวงมาลัยได้เลย เพื่อความสะดวกในการปรับ Lo-Hi

    สรุปขั้นตอนที่ต้องทำตามลำดับ เพื่อให้ใช้งานได้ครบทุก function แบบแจ๋วๆ เลย
    1. ถ้าต้องการเปลี่ยนค่าให้แสดงเป็น psi ให้ทำซะ ดูในคู่มือของคุณเอาแล้วกัน ว่าทำไง
    2. ตั้งค่า WARNING ที่ต้องการซะ เอาให้ปลอดภัยกับเครื่องคุณนะ ปกติแล้วเกิน Hi ซัก 0.1 ก็พอแล้ว
    3. ตั้งค่า START BOOST ( SET GAIN ) ไปที่แรงดันที่ต้องการ ปกติแล้วน้อยกว่า Lo ซัก 0.1 ก็พอแล้ว
    4. ล้างค่า PEAK BOOST ดูวิธีด้านบนเอา
    5. ปรับ LAST BOOST เป็น ON ซะด้วย
    6. ปรับ GAIN เป็น 0
    7. ปรับ SET ไป 25% หรือต่ำๆ หน่อยก็ปลอดภัยดีนะ
    8. ปรับ LIMITER ไปที่ค่า SET ลบ 5% ( โดยอาจกำหนดค่าเป็น 20% ถ้าใช้ค่าตัวอย่างในข้อ 7 )
    9. ทดสอบการเหี่ยวลงของบูสต์ที่รอบสูง โดยคุณสามารถทำในถนนโล่งๆ ไม่มีรถรอบข้าง และที่สำคัญต้องไม่มีตำรวจด้วย ดีที่สุดเลยคือให้คนอื่นตั้งให้คุณ แล้วคุณขับอย่างเดียว ใช้สมาธิให้เต็มที่ จะได้ไม่มีใครเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น
    ถ้าพบว่าไม่มีอาการบูสต์เหี่ยว ก็โชคดีไป ข้ามไปขั้นตอนต่อไปได้เลย แต่ถ้าพบว่ามีบูสต์ตกลงที่รอบเครื่องสูงๆ ก็ให้ลองปรับ gain เพิ่มไปซัก 5% แล้วทดสอบใหม่ อย่าลืมว่าถ้าปรับ gain เพิ่มขึ้น แรงบูสต์โดยรวมที่ได้ก็จะมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจทำให้คุณต้องย้อนไปปรับ SET ใหม่อีก ปรับจนได้แรงดันที่นิ่งตามที่ต้องการ
    10. เข้าไปรับค่า SET ขึ้นทีละ 2% แล้วดูปรับค่า WARNING และ กำหนด LIMITER ที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ทดสอบขับไปเรื่อยๆ แล้วเพิ่มไปทีละ 2% ไปจนกว่าจะได้แรงดันที่ต้องการ

    ระวังเครื่องพังนะครับ ไม่ใช่ว่าลองแต่จะให้บูสต์มาเร็ว แรงดันเท่านั้นเท่านี้ และต้องนิ่งเป็นหิน แต่ลืมสังเกตุไปว่าเครื่องทนได้แค่ไหน ความร้อนขึ้นหรือเปล่า คลัตช์จะลื่นหรือยัง อย่างที่บอกมาในข้างต้นครับ ต้องมีคนขับ และคนปรับตั้ง อย่าไปทำคนเดียว
    เดี๋ยวพลาด…

    11. เสร็จแล้วไปเพิ่ม START BOOST ( SET GAIN ) ทีละ 1 ไปเรื่อยๆ จนเจออาการบูสต์เหวี่ยงเกินไปนิดนึง แล้วตกกลับมา แปลว่านั่นล่ะมากเกินไปหน่อยแล้ว ก็ให้ถอยค่าลงนิดนึง เอาจนได้บูสต์ที่มาเร็ว และนิ่งโดยไม่เหวี่ยงเกิน คือได้ค่าที่ถูกต้องแล้ว

    ทำเสร็จ 11 ขั้นตอนนี้แล้ว ที่เหลือก็แค่ fine-tune ( ปรับละเอียด ) แล้วครับ ก็ทำ 9-10-11 นี่ล่ะ แต่คราวนี้ปรับค่าทีละ 1 พอ ปรับจนพอใจแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีก เอาไว้เปลี่ยน turbo แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีครับ
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้