อ่านจิ‏

การสนทนาใน 'Mazda 323&626 Club' เริ่มโดย RollriderS, 6 ธันวาคม 2007

< Previous Thread | Next Thread >
  1. RollriderS

    RollriderS New Member Moderator

    2,318
    9
    0
    ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน



    แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

    ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

    วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

    ของฉันมีกัน

    จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

    พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

    โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

    " ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

    ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

    พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

    " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

    พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

    ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

    " ผมขโมยเองครับ"

    ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

    พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

    จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

    พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

    และด่าว่าน้องชายของฉัน

    " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

    แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

    คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

    หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

    แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

    กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

    น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

    " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

    ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

    ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ



    หลายปีผ่านไป

    แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

    ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

    เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

    เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

    ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

    ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

    คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

    ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

    " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

    แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

    " แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

    ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

    " ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

    พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

    " ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

    ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

    พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

    คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

    ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

    ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

    ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

    " ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

    แต่ในขณะเดียวกัน

    ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

    ใครจะรู้ได้ .......


    วันต่อมาในตอนเช้ามืด

    น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

    และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

    ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

    ขณะฉันกำลังหลับ

    " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

    ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

    ฉันนั่งอยู่บนเตียง

    อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

    ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

    ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

    รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

    กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

    ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

    วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

    เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

    " มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

    ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

    ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

    ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
    ...

    ฉันถามเขาว่า

    " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

    น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

    " ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

    ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

    ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

    และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

    " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

    เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

    จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

    แล้วพูดว่า

    " ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

    ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

    ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

    วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

    ฉันสังเกตเห็นว่า

    หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

    เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

    หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

    " แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

    เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

    แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

    " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

    วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

    ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

    น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

    ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

    ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

    ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด " เจ็บมากไหม"

    ฉันถาม

    " ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

    มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

    แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

    และ..."

    น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

    เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

    น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

    " เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

    หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

    หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

    แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

    ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

    แต่เมื่อออกไปแล้ว

    ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

    จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

    น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

    เขาบอกกับฉันว่า

    " พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

    สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

    เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
    ...
    แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

    เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

    วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

    และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

    เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

    ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

    น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

    ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

    " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

    ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

    ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

    คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

    ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

    " พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

    ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

    คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

    น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

    ฉันบอกกับน้องว่า

    " แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

    " ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

    น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



    เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

    เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

    ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

    " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

    น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ" .....

    และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

    " ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

    เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.

    เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

    วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

    พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

    และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

    เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

    เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น

    ผมสาบานกับตัวเอง

    ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

    และจะทำดีกับเธอ"

    เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

    สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

    คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

    " ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

    ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

    น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

    จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

    วันในชีวิตของคุณและเขา

    คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

    แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

    .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

    พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

    หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


    จบบริบูรณ์....


    ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

    น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

    " ซัมซุง"

    และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ
     
  2. Joke323

    Joke323 New Member Member

    159
    5
    0
    เอ้.....จิงๆปะเนี้ย ที่ว่าฮุนไดกะซัมซุงอะ
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้